"หมอยง" เผยบทเรียนของคนไทย เมื่อย่างเข้าสู่ 4 ปีที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับโรคโควิด-19 ชี้เป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันเชื้อสายพันธุ์ใหม่ของผู้เดินทางมาจากต่างชาติ
วันที่ 4 มกราคม 2566 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง โควิด-19 บทเรียนโควิด-19 เมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ระบุว่า ระยะเวลาผ่านไป ความรู้เกี่ยวกับ covid-19 ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เป็นโรคใหม่ จึงจำเป็นต้องใช้ความรู้และวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา เรามีผู้เชี่ยวชาญมากเหลือเกิน จึงเกิดความสับสนในสังคม การเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดเจนดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ ทำให้ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ความรุนแรงของโรคที่ลดลง เพื่อความอยู่รอดของตัวไวรัส และสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่าย ความรุนแรงจะลดลง
- ความรุนแรงลดลง ทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เป็นแบบไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย จึงยากที่จะควบคุม
- ประเทศไทยมีการติดเชื้อไปแล้วไม่น้อยกว่า 70% หรือประมาณ 50 ล้านคน และก็เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ในโลก ประชากรส่วนใหญ่จะเคยติดเชื้อแล้ว
- ในระยะแรกมีมาตรการเข้มงวด ปิดบ้านปิดเมือง งดการเดินทาง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น ก็สามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วโลกเหมือนกัน
- การป้องกันสายพันธุ์ใหม่จากผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ในสภาวะปัจจุบัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ใช้แต่เฝ้าระวังการตรวจสายพันธุ์เท่านั้น
- ถึงแม้จะมีมาตรการการตรวจก่อนเดินทางอย่างในอดีต ก็ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์ใหม่ที่จะเข้ามาระบาดได้ เป็นเพียงช้าหรือเร็วเท่านั้น
- ในระยะแรกการตรวจวินิจฉัย พื่อป้องกันการระบาดของโรค จึงใช้การตรวจวินิจฉัยที่มีความไวสูงมาก คือ RT PCR ต่อมาเมื่อความรุนแรงลดลง การตรวจด้วยความไวต่ำ ประมาณ 80% คือ ATK ก็เป็นที่ยอมรับถูกนำมาใช้ เพราะมีราคาถูกกว่ามาก และการตรวจจะลดลงอีก จะตรวจเฉพาะในผู้กลุ่มที่มีอาการ เพื่อการวินิจฉัยเท่านั้น
- ระยะแรกความหวังในการยุติการระบาดของโรคอยู่ที่วัคซีน เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็พบว่าวัคซีนไม่สามารถที่จะยุติการระบาดของโรคได้ เพียงลดความรุนแรงของโรคลงเท่านั้น
- เวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า วัคซีนแต่ละ platform หรือแต่ละชนิด ไม่ได้แตกต่างกันเลย อย่างประเทศตะวันตก ญี่ปุ่น ใช้แต่วัคซีน mRNA การระบาดของโรคขณะนี้ก็อยู่ในประเทศต้นๆ และอัตราผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างกัน ถ้าดูตัวเลขต่อประชากรก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
- การลดความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับจำนวนเข็มของวัคซีน การฉีดวัคซีนครบ หมายถึงจะต้องฉีด 3 ครั้ง เป็นอย่างน้อยคือการฉีดเบื้องต้น 2 ครั้ง และกระตุ้นอีก 1 ครั้ง ระยะเวลาผ่านมานาน จากการเริ่มให้วัคซีนมาถึงปัจจุบันรวม 2 ปี การกระตุ้นครั้งที่ 2 หรือ 3 สามารถทำได้ เพื่อยกระดับภูมิต้านทานของร่างกาย ในการที่จะลดความรุนแรงของโรค
- ประเทศต่างๆ ได้มีการทำลายวัคซีนที่หมดอายุทิ้งเป็นจำนวนมาก เพราะในระยะแรกมีการจองกันเป็นจำนวนมาก สูญเสียค่าใช้จ่ายของวัคซีนเป็นจำนวนมาก เพราะจองแล้วต้องจ่ายเงิน ไม่สามารถเอาเงินคืนได้ การทำตามแรงกดดันทางสังคม ทำให้สูญเสียเงินอย่างมาก และเป็นบทเรียนสอนให้รู้จักแบ่งปัน ขณะนี้บริษัทวัคซีนต่างๆ ลดการผลิตลงอย่างมาก และตลาดวัคซีนขณะนี้เป็นของผู้ซื้อวัคซีน ที่รอวันหมดอายุมีเป็นจำนวนมาก รอการทำลายทิ้ง
- แนวโน้มของโรคในอนาคต โรคโควิด-19 ก็คงจะอยู่กับเรา และเป็นโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง เช่นเดียวกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
- ใน 3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีวิธีการรักษา ป้องกัน เกิดขึ้นทางสื่อสังคมมากมาย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ สมุนไพร ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ในการพิสูจน์ว่าใช้ได้จริง ตามกฎเกณฑ์มาตรฐาน ประเทศไทยมีผู้เชี่ยวชาญมากเหลือเกิน จึงเกิดความสับสนในสังคม
- บทเรียนที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า การแก้ปัญหาจะต้องใช้วิทยาศาสตร์ การศึกษาวิจัยมากกว่า การใช้ความรู้สึก "คิดว่า คาดว่า" มาแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาทางสื่อสังคม ผลักดันทำให้เกิดความสูญเสียทาง สาธารณสุข จิตใจ เศรษฐกิจ สังคม เราจะต้องเรียนรู้อยู่กับโรคนี้ต่อไป
- ปีที่ 4 นี้ ทุกคนยอมรับและอยู่กับโควิด-19 เศรษฐกิจสังคมจะเข้าสู่ภาวะปกติ การนับจำนวนไม่สามารถทำได้จริง และในที่สุดองค์การอนามัยโลกก็คงจะยุติการนับจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต เพราะตัวเลขที่ได้มาต่ำกว่าความเป็นจริงมาก.
...
ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan