"ป๋าเทพ-แม่จุ๋ม" เปิดใจ ขายที่ 13 ไร่ ที่ราชบุรี เพื่อใช้หนี้ สร้างธุรกิจทิ้งไว้ให้ลูกหลาน รับคุยการเมือง ทำยอดขายขนมเปี๊ยะลด ไม่สนคนตามด่า

วันที่ 18 พ.ย.65 ในรายการ "เปิดปาก กับ ภาคภูมิ" โดย ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ วันนี้พูดคุยกับ "ป๋าเทพ โพธิ์งาม" และ "แม่จุ๋ม" ภรรยา อดีตตลกชื่อดัง หลังออกมาประกาศขายไร่ ที่ จ.ราชบุรี ในราคา 13 ล้านบาท จนหลายคนมองว่าตกอับ แต่เจ้าตัวบอกชีวิตต้องเดินหน้า

เมื่อถามถึงที่ดิน จำนวน 13 ไร่ ป๋าเทพ และแม่จุ๋ม เล่าว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ใน อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เดิมเป็นที่ทำประกอบธุรกิจ มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่ใช่ที่ดินเปล่าๆ น้ำไม่ท่วม ซึ่งตอนแรกจะขาย 15 ล้าน แต่กลัวว่าไม่มีคนซื้อ เลยลดเหลือ 13 ล้าน ซึ่งเราซื้อมาจากญาติเมื่อ 30 ปีก่อน และช่วงโควิด ก็ขายที่ที่ศาลายา เพื่อมาอยู่ที่บ้านโป่ง มาอยู่นี่ได้ 2 ปี ก็ตัดสินใจขาย พร้อมพูดติดตลกว่า ทีรัฐบาลจะขาย ทำไมไม่ไปว่าเค้าบ้าง

ซึ่งที่ 13 ไร่ ที่อยากจะขาย เพราะเริ่มอด สัตว์ก็ไม่มีอะไรกิน ทั้งวัว ควาย สุนัข ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนแรกมีแค่ 2 ตัว ไปไถ่ชีวิตมา บางตัวเค้าให้มา บางตัวก็ซื้อมา จนตอนนี้มีควายประมาณ 7 ตัว วัวประมาณ 20 ตัว สุนัขอีกจำนวนมาก รวมถึงคนงานที่ทำขนมเปี๊ยะขั้นเทพ และคนงานที่ดูแลสัตว์อีก

เมื่อถามว่า "ตกอับ" หรือไม่ ป๋าเทพ บอกว่าจะว่าตกอับก็ได้ เพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่วนที่มีคนบอกว่า ทำอะไรก็เจ๊งนั้น ป๋าเจ๊งกี่ครั้งก็ผ่านมาได้ตลอด เพราะความโง่ของเรา และความคิดของตัวเอง ก็ทำทั้งหมดด้วยตัวเอง และแก้ไขสถานการณ์ด้วยตัวเอง

...



ถ้าขายได้ ก็ต้องหาลู่ทางอื่น เพื่อให้ชีวิตเราอยู่ได้ตลอด อาจจะทำงานในวงการก็ได้ หากให้บทดีๆ แต่ให้เป็นคนถางหญ้า ก็ไม่ไหว ส่วนธุรกิจขนมเปี๊ยะ ก็ยังทำอยู่ โดยเอาเงินที่เราได้จากการขายที่ ไปหาตู้คอนเทนเนอร์ ทำร้านขายริมถนนตามเส้นทางภาคอีสาน คิดว่าน่าจะดีกว่าการที่เรามาขายในป่าแบบนี้ ซึ่งเป็นทางผ่านไปหลายจังหวัด ซึ่งอาจจะขายได้ดีกว่าเดิม

ด้าน แม่จุ๋ม บอก ตอนนี้อยู่กับป๋าเทพมาก็ 40 ปีแล้ว มีความสุขดี ซึ่งป๋าเคยบอกว่า ใครอยู่กับเค้าได้เกิน 2 เดือนก็เก่งแล้ว โดยตอนนี้ยอดการสั่งซื้อส่วนใหญ่มาจากออนไลน์ 

เมื่อถามว่า คิดว่าโมเดลใหม่จะรอดหรือไม่ ป๋าเทพ บอกว่า ไม่มีใครรู้ว่ารอดหรือไม่รอด อย่างตัวเอง ถ้าทำแล้วรวย คือเรื่องผิดปกติ มีความหวังก็จริง แต่เราก็ต้องยอมรับความจริง 

ต่อข้อถาม อายุ 74 ปี แล้ว ทำไมยังอยากทำธุรกิจอยู่ ป๋าเทพ บอกว่า นอกจากหนี้สิน เราไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีลูกหลาน ที่เรายังเป็นห่วงอยู่ ถ้าไม่ได้ทำอะไรไว้ให้ก็ยังไม่สบายใจ เราก็คิดว่า นี่เป็นก้อนสุดท้ายละ ที่จะทำให้ลูกหลาน เพราะการแสดง เราทำแล้วได้แค่ตัวเรา แต่ธุรกิจ ถ้าเราทำลูกหลานได้



อีกฝั่งความคิดด้านการเมือง รอสมน้ำหน้าเราอยู่ ป๋าเทพ บอกว่า เราก็รู้ แต่เรื่องแบบนี้ คิดแล้วไร้ประโยชน์ มันไม่ได้บั่นทอนอะไรเรา คนขายบ้าน ขายที่ดิน ก็เยอะแยะ ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองแม้แต่น้อย แต่จับพลัดจับผลู ด่ามาก็ด่ากลับ เราพูดตามความรู้สึก ไม่ได้เข้าข้างใคร อย่างเรื่องขายที่ดินให้ต่างชาติ เราก็ยังด่ารัฐบาล เพราะเราเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า แล้วจะพูดเรื่องการเมือง ให้เปลืองตัวทำไม ป๋าเทพ บอกว่า ก็เพราะเรามองเห็นปัญหา เนื่องจากเรามองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำตอนนี้ นายทุนเป็นคนได้ แต่ชาวบ้านไม่ได้อะไร ทุกอย่างเรามองตามสถานการณ์ การเป็นผู้นำ ต้องมองอะไรที่กว้างๆ ไว้ มองที่ชาวบ้านก่อน อย่างการประชุมเอเปก บอกว่าทุกคนได้ประโยชน์ ได้ตรงไหน เรายังเชียร์บิ๊กตู่อยู่ แต่เรื่องต่างชาติถือครองที่ดิน เราไม่เห็นด้วย แค่เบรกไม่ได้หรอก ต้องหยุดไปเลย ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน ซึ่งหากเค้ายังเดินหน้าเรื่องนี้อยู่ สมัยหน้าเราก็คงไม่เลือกเค้า ซึ่งเราก็ต้องดูว่าเค้าจริงใจกับประชาชนขนาดไหน

ส่วนนายกฯ ในสมัยหน้า เราก็มองหาคนที่มองเห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่างเรื่องกัญชา ตนเห็นว่า มันเป็นประโยชน์ของประชาชน อย่างบางพรรค มาเบรกเรื่องกัญชา แต่ไปส่งเสริมเรื่องเหล้า แล้วกัญชาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย เคยเห็นไหมว่า คนดูดกัญชาปีนเสาไฟฟ้า ไม่มี

เมื่อถามว่า พูดแบบนี้เท่ากับสนับสนุนคุณอนุทิน เป็นนายกฯ ป๋าเทพ บอกว่า ก็ได้ ถ้าหากว่าเค้าจะเป็น ผมถือว่าเค้าทำงาน พรรคเค้าก็ทำงานเยอะ คมนาคมก็เค้า แล้วนโยบายกัญชาไม่มีใครเคยทำได้ อีกคนคือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ป๋าก็มองว่าได้ ทั้งเรื่องข้าว เรื่องดาวเทียม เพราะมองประโยชน์ประชาชน นอกนั้นไม่เอา เด็กๆ ไม่เอา ซึ่งอันนี้เราพูดเพราะเราเป็นชาวบ้าน

แต่ยอมรับว่า การออกมาพูดเรื่องการเมือง ทำให้ยอดขายขนมเปี๊ยะลดลง แต่ไม่เป็นไร เราคิดว่าหากเราเจ๊ง ยังพลิกฟื้นได้ แต่หากประเทศเจ๊ง มันไม่ได้.





ติดตามรายการ “เปิดปาก กับ ภาคภูมิ” พร้อมกันทุกวันจันทร์ ถึง ศุกร์ เวลา 15.30 น. เป็นต้นไปทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.