สาวแชร์ประสบการณ์ ป่วยมะเร็งรังไข่ ระยะ 2 ในวัย 19 หลังจู่ๆ ท้องป่อง อึดอัด หมอต้องเจาะน้ำออกเป็นลิตร ให้คีโม และเข้ารับการรักษาจนซึมเศร้า แต่สุดท้ายผ่านมาได้ เพราะคนรอบข้างให้กำลังใจ

หลังจากที่ โลกออนไลน์แห่แชร์เรื่องราวของคุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี ที่ถ่ายทอดเรื่องการเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายผ่านทางเพจ "สู้ดิวะ" ซึ่งหลังจากนั้น ก็มีหลายคนที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ เกี่ยวกับโรคมะเร็งเป็นระยะ

เช่นเดียวกับ ผู้ใช้ทวิตเตอร์ แม่หมอสีม่วง (@AmethystMagissa) ซึ่งได้ออกมาทวีตเล่าเรื่องราวของตัวเอง เกี่ยวกับการป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ ตอนอายุ 19 ปี โดยเธอเล่าว่า จุดเริ่มต้นของการป่วย ตอนอายุ 19 นั้น เป็นช่วงที่ทำงานไป เรียนไป ไม่ค่อยได้พักผ่อน และกินแต่ของไม่มีประโยชน์กับร่างกาย แต่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน มีแต่ผอมลงๆ จนไปกินบุฟเฟต์ของดิบ แล้วมีความรู้สึกเหมือนท้องระเบิด พุงป่อง เหมือนคนท้อง ไม่ยอมลด 3 วันติด

ซึ่งตัวเองเชื่อว่ามันไม่ปกติ เพราะท้องบวม แข็ง จนน่ากลัว จนคนอื่นๆ ยังทักว่าท้องหรือเปล่า มีอาการอึดอัด เหมือนมีน้ำในท้องตลอดเวลา กินข้าวก็ไม่ได้ กินน้ำก็ไม่ดี ทรมานเหมือนตกนรก กระทั่งตัดสินใจไปหาหมอ

ไปที่โรงพยาบาลแรก หมอบอกว่าเป็นโรคกระเพาะ ให้ยากลับไปทานที่บ้าน แต่เมื่อกลับมาแล้ว กลับนอนซม มีไข้ จนไม่ได้ไปทำงาน จึงไปหาหมอที่คลินิกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งหมอตรวจละเอียด และบอกว่า มีน้ำในท้องเยอะมาก มันอันตราย พร้อมกับแนะนำให้ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แม่จึงรีบพาไปแห่งหนึ่งทันที

เมื่อไปถึง หมอตรวจโรคทั่วไป ก็ยังบอกว่า เป็นโรคกระเพาะ จนกลางดึก เริ่มทนไม่ไหว จึงไปหาหมอฉุกเฉินที่ รพ.ราชวิถี โดยหมออัลตราซาวนด์ดูสิ่งที่อยู่ในท้องแบบละเอียด ปรากฏว่ามันคือน้ำอันมากมายมหาศาล ที่มาจากรังไข่ จึงเจาะท้องเอาน้ำออกมา ราวๆ 2 ลิตร

จากนั้น มีการส่งเคสไปให้หมอสูตินรีเวชโดยตรง จนไปเจอต้นตอของโรค เลยทำการนัดผ่าตัดในเดือนมกราคม ซึ่งตัวเองก็รู้สึกโล่ง อย่างน้อยก็มีทางหาย แต่เหมือนพระเจ้าลงโทษ เพราะน้ำในท้องผุดขึ้นมาอีกเรื่อยๆจนต้องเจาะท้อง 4 ครั้งใน 1 เดือน ซึ่งมันเจ็บและเหนื่อยมากๆ ร่างกายอ่อนเพลีย น้ำในท้องเยอะ ไข้ขึ้น จนถึงจุดไฟนอล วันที่ไข้แตะสูงถึง 38 องศาฯ ครอบครัวเห็นท่าไม่ดี เลยขับรถไปส่งห้องฉุกเฉินอีกครั้ง

กลางดึกคืนนั้น หมอห้องฉุกเฉินเข้ามารุมเคส เพราะอาการหนัก ไข้ขึ้นจนเกือบแตะ 40 องศาฯ จับขึ้นขาหยั่ง ตรวจ จนได้ข้อสรุปว่า "พรุ่งนี้ผ่าตัดด่วน" ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน พอเช้ามาก็เข้าห้องผ่าตัดเป็นเคสแรก การผ่าตัดเสร็จสมบูรณ์ดี พักประมาณ 7 วัน ก็กลับมานอนรอผลตรวจชิ้นเนื้อที่บ้าน ซึ่งผลออกมาว่า "เป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่2" ต้องตัดรังไข่และมดลูกซีกขวาออก แต่หมออยากให้เหลือซีกซ้ายไว้ เผื่อจะในอนาคตอยากมีลูก

ซึ่งตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งรังไข่นั้น "เหมือนทุกอย่างประดาประดังเข้ามา มะเร็งหรอ? คีโมหรอ? แล้วเส้นผมฉันล่ะ แล้วชีวิตวัยรุ่นของฉัน... การเรียนการงานกำลังไปได้ดีแต่ต้องมาพังทลายเพราะมะเร็งคำเดียว ยอมรับว่าร้องไห้ไม่ออก มันช็อก มันเบลอไปหมด เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว"

หมอให้เซ็นยินยอมในการรับยาเคมีบำบัด จริงๆ ตอนนั้นท้อมาก ไม่อยากอยู่ แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดลบๆ ยืนหยัดสู้กับมัน ยอมรับการรักษา เดินหน้าเต็มอัตรา ไว้ใจหมอ ให้ใจพยาบาล 

โดยในช่วงที่ให้คีโมคอร์สแรกนั้น ทรมานมาก ทั้งแสบทั้งร้อนตามร่างกาย เข้าใจเลยว่าทำไมคนเป็นมะเร็งถึงตกม้าตายในขั้นตอนการรักษา ดังนั้นให้กำลังใจคนเป็นมะเร็งเยอะๆ เถอะ มันทรมานมาก การให้คีโมทำให้เส้นขนทุกเส้นในร่างกายร่วง ผมร่วง ขนร่วง ซึ่งหมอบอกว่าหากผมร่วง เท่ากับร่างกายตอบสนองต่อยาดี 

จนในที่สุดเลยตัดสินใจไปโกนผม เพื่อเตรียมตัวรับการรักษาเคมีบำบัดคอร์สที่ 2 เข้าสู่ชนเผ่ามะเร็งเต็มตัว ตอนที่โกนผม มันอิมแพคมาก เหมือนเราพร้อมเหยียบคันเร่งเผชิญหน้ากับมัน ครอบครัว, เพื่อน, หมอ, พยาบาล ให้กำลังใจจนมีแรงฮึดสู้ แม้จะทุลักทุเล แต่ก็ไหวนะ

แล้วการรักษาก็ดำเนินมาเรื่อยๆจน การให้คีโมคอร์สที่ 3 หมอตรวจพบก้อนชิ้นเนื้อปริศนา ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกรอบ กำลังใจตอนนั้นมันช่วยอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างกำลังจะดี แต่กลับมาวนลูปอีกครั้ง ขึ้นเขียงผ่าตัด ฟังผลชิ้นเนื้อ และเพิ่มคอร์สคีโมอีกสองคอร์ส

ซึ่งในการผ่าตัดรอบที่ 2 ตนมีสภาวะซึมเศร้าหนักมาก จนคุณหมอจิตแพทย์ต้องเข้ามาดูแลใกล้ชิดบวกกับสภาวะดื้อยา อาจเพราะคีโมสะสมในร่างกายมากเกินไป กับความเครียด ทำให้เริ่มประสาทหลอน ดิ้นทุรนทุรายในคีโมคอร์สสุดท้าย แต่ก็ผ่านมาได้ เนื่องจากคุณหมอ หาวิธีแก้ไขจนร่างกายรับสมดุลเคมีได้ ซึ่งตอนนี้ ตนได้รับการรักษาจนหายแล้ว 

และว่า จริงๆการเป็นมะเร็งก็มีเรื่องสนุกอยู่เหมือนกัน เพราะตนเองได้ทดลองแต่งตัวใหม่ๆ ได้ลองเปลี่ยนทรงผม แถมยังได้รับความใจดีมากมายมหาศาลจากคนรอบข้าง หล่อหลอมให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างทุกวันนี้ ขอบคุณทุกคน ณ ตอนนั้นนะคะที่ดูแล เทคแคร์ ถามไถ่ และให้กำลังใจกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากๆ

พร้อมฝากถึงทุกๆ คนว่า ควรไปตรวจร่างกาย เพราะเซลล์มะเร็งทุกคนมีอยู่แล้ว เนื่องจากโลกใบนี้มันไม่มีอะไรไม่เป็นพิษ มันอยู่ที่ว่ามะเร็งจะถูกกระตุ้นขึ้นมาเมื่อไร เหมือนกับระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ จะได้หาวิธีป้องกัน รักษาให้เร็วที่สุด.

...

ที่มาจาก ทวิตเตอร์ @AmethystMagissa