เปิดใจพ่อ วัย 63 ปี ขาพิการ ถูกครูขโมยเลขบัตรประชาชน เอาไปสวมสิทธิ จนพลาดสวัสดิการรัฐต่างๆ ที่ควรจะได้รับ ด้านลูกตระเวนร้อง ขอสิทธิคืน ยังไม่มีความคืบหน้า ถามหรือต้องรอให้พ่อตายอีกคน
จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Paek Pim ได้โพสต์ข้อความว่า "ขอบคุณทุกคนทุกหน่วยงานที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ #เรื่องพอถูกสวมสิทธิ์ ทางครอบครัวของเราไม่ได้ต้องการฟ้องร้องหรือเอาผิดกับใครแค่อยากได้สิทธิ์ของพ่อคืนสิทธิ์ ที่เขาควรจะได้ 2 ปีกับการรอไม่รู้ว่าจะได้มั้ย? ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่? ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน???? หรือต้องรอจนพ่อหนูสิ้นลมหายใจ......."
ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอได้โพสต์เฟซบุ๊ก อธิบายว่า พ่อถูกครูท่านหนึ่งนำเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ไปสวมสิทธิ เพื่อศึกษาเล่าเรียน โดยใช้ชื่อว่า ครูปรีชา โดยที่พ่อไม่รู้ตัว กระทั่งอายุ 60 ปี จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ แต่ได้เบี้ยประมาณ 4-5 เดือนก็ถูก "เรียกคืน" เนื่องจากเลขบัตรประชาชนของพ่อ ดันขึ้นว่าตนเองเป็นข้าราชการ ไม่สามารถรับเบี้ยผู้สูงอายุได้ แต่ความเป็นจริงแล้วพ่อไม่ได้รับราชการแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมีจดหมายเรียกเก็บภาษีมาที่บ้าน
จึงได้เข้าแจ้งความ และร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรม และมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มาขอถ้อยคำ และตรวจสอบครูท่านนั้น พบว่าครูท่านนั้นสวมสิทธิพ่อจริง เลยโดนโทษกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งตัวเองติดตามเรื่องนี้มาประมาณ 2 ปี แล้ว ได้แต่ให้รอ จนครูปรีชา เสียชีวิต ส่วนพ่อ ก็ยังไม่ได้รับสิทธิของตัวเองคืน สิทธิที่ควรจะได้
ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.รุ่งฤดี มหาวงศ์ หรือ พิม อายุ 34 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี และนายปรีชา มหาวงศ์ อายุ 63 ปี คุณพ่อ ซึ่งขาพิการ และถูกสวมสิทธิ ซึ่งนำหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน บัตรคนพิการและบัตรใบขับขี่ สำเนาเอกสาร ทั้งใบแจ้งความ เอกสารบันทึกคำให้การเมื่อครั้งมีหน่วยงานการศึกษาเข้ามาสอบ เอกสารทวงหนี้ เอกสารแจ้งระงับการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชรา มาให้ดู
...
โดย น.ส.รุ่งฤดี เปิดใจทั้งน้ำตา ตอนนั้นพาพ่อไปทำขาเทียม แล้วทาง รพ.เช็กสิทธิให้ แจ้งว่าพ่อใช้สิทธิเบิกตรงไม่ได้ พ่อต้องใช้สิทธิบัตรทอง ซึ่งเราไม่มี เคยยื่นแต่บัตรประชาชน เขาก็ถามว่า พ่อเป็นข้าราชการหรือไม่ เราก็บอกว่าไม่ได้เป็นทั้งบ้าน โรงพยาบาลจึงแนะนำให้ไปทำบัตรทองใหม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้หรือไม่ เพราะสิทธิทับซ้อนอยู่ ต่อมาทางเทศบาลบอกว่า เหมือนถูกสวมสิทธิ เขาก็เอาประวัติคนนั้นมาให้ และดำเนินการไป แต่ก็ไม่คืบหน้าอะไร
น.ส.รุ่งฤดี กล่าวอีกว่า ร้องเรียนไปแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่ได้สิทธิสวัสดิการที่ควรจะได้รับทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง ฯลฯ แถมยังโดนให้จ่ายภาษีเงินกู้ ที่พ่อไม่เคยกู้เงินเลย มีคณะครูมาสอบปากคำ ให้พ่อให้ถ้อยคำไปก็เงียบ ตอนนี้อยากได้สิทธิพ่อคืน พ่อขาขาด พิการแถมเป็นอัมพฤกษ์อีก อยากให้หน่วยงานออกมาช่วยเหลือ เนื่องจากทางบ้านคงไม่มีเงินไปสู้คดี
ด้าน นายปรีชา เปิดเผยว่า ตอนนี้รักษาไม่ฟรีแล้ว เพราะไม่มีสิทธิ ก็รู้ว่าถูกสวมสิทธิ แต่ก็ไม่รู้ว่าใคร ขอสิทธิผมคืนมา ถ้าเป็นอะไรไปผมแย่คนเดียว ถ้าเขาตายผมก็ตายด้วยไง ตอนนี้ไม่ได้รับสิทธิอะไรเลย เหลือแค่สิทธิคนพิการอย่างเดียว.