ดราม่า สุนัขบ้านดาบตำรวจ เข้าไปขย้ำกระต่ายของเพื่อนบ้านตายถึงในรั้ว ที่ จ.จันทบุรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเจ้าของผู้ใช้รายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความระบาย หลังจากที่มีสุนัขของเพื่อนบ้าน เข้ามาวิ่งเล่นภายในรั้วบ้านของตนเอง ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด และมีประตูไฟฟ้าปิด แต่ว่าสุนัขของเพื่อนบ้านยังสามารถเปิดประตูบานเล็กเข้ามาวิ่งเล่น มาอุจจาระภายในบ้านของตนเองหลายครั้งต่อมาตนเองได้มีการเจรจาพูดคุยกับเจ้าของสุนัขแล้วแต่ไม่มีการรับผิดชอบ ได้รับคำตอบกลับมาเพียงว่า ถ้าสุนัขขี้เดี๋ยวจะไปเก็บให้ และให้ปิดประตูบ้านไว้ให้ดี เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง
ล่าสุด สุนัขเจ้าปัญหาตัวดังกล่าวพากันเข้ามาวิ่งไล่กัดทำร้ายกระต่ายที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้และปล่อยเลี้ยงแบบธรรมชาติโดยไม่ได้ขังกรง เนื่องจากเป็นบริเวณบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิดและกระต่ายก็ไม่ออกไปนอกบ้าน จนเสียชีวิต แต่พอไปพูดคุย กลับได้คำตอบว่า อยากได้ก็ไปฟ้องเอา
จากการสอบถาม นางสุพัทตรา ทองนพคุณ อายุ 28 ปี เจ้าของกระต่าย ทราบว่า หลังจากที่เดินตามหากระต่าย ซึ่งเลี้ยงไว้ภายในรั้วบ้าน แต่ไม่พบ จึงไปเปิดกล้องวงจรปิดดู และพบว่า มีสุนัขของเพื่อนบ้าน 2 ตัว เข้ามาในรั้วของตน ก่อนที่จะทำร้ายกระต่าย จากนั้น วงจรปิดอีกตัว ยังเห็นเพื่อนบ้านที่เป็นตำรวจ ซึ่งเป็นเจ้าของหมา เป็นคนนำซากกระต่าย ที่ถูกลากไปหน้าบ้านไปทิ้งถังขยะ
ด้าน นายกฤติณ ต้นสมบัติ อายุ 29 ปี สามีของ นางสุพัทตรา ยอมรับว่า ตนเองไม่พอใจที่คู่กรณีซึ่งเป็นตำรวจ เนื่องจากบางถ้อยคำ ที่บอกว่าจะให้ตนเองไปเจรจากับสุนัข และตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมด้วย แถมยังผิดที่ประตูบ้านของตนเองเสียไม่สามารถปิดได้ ทางครอบครัวก็เพิ่งเคยเจอแบบนี้เหมือนกัน และขอย้ำว่าตนเองไม่ต้องการอะไรนอกจากคำขอโทษจากใจเท่านั้น
...
ด้าน ด.ต.วีระชาติ โสมาศรี ผบ.หมู่ งานสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี คู่กรณี บอกอีกมุมว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายกันแล้ว และพูดจาจบกันด้วยดีแต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็มีการโพสต์คลิป ทำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียงทำให้ถูกเกลียดชัง โดยตนเองอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานทั้งต้นโพสต์และผู้ที่แชร์ต่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยขณะนี้ผู้บังคับบัญชาของตนเองทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว
นอกจากนี้ ด.ต.วีระชาติ ยังโชว์หลักฐานเป็นหมายเลขบัญชีที่ฝ่ายตรงข้ามส่งให้มาเพื่อขอรับเงินชดใช้ค่าเสียหาย
ขณะที่ผู้สื่อข่าว กลับไปสอบถาม เจ้าของกระต่ายอีกครั้งทราบว่า มีการตกลงกันจริง โดยครั้งแรกจะเรียกค่าเสียหาย 7,000 บาท แต่ฝ่ายตรงข้ามต่อรองมาเหลือ 3,000 บาท โดยให้ลูกสาวเป็นผู้เจรจาด้วย แต่ก็เงียบไป ไม่มีการโอนเงินใดทั้งสิ้น แต่เจตนาของผู้เสียหายไม่ต้องการรับเงินอยู่แล้วแค่ต้องการคำขอโทษเท่านั้น.