พ่อแชร์อุทาหรณ์ ลูกชายวัย 12 ปี ปวดหัวหนักจนหมดสติ ครอบครัวรีบส่ง รพ. พบ เส้นเลือดในสมองแตก ก่อนจากไปอย่างสงบ เตือนหมั่นสังเกตอาการลูก หากปวดหัวรีบหาสาเหตุ รักษาทันที

โลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราว ของคุณพ่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ Tanapol Teshatanadirek ที่โพสต์เรื่องราวหวังให้เป็นอุทาหรณ์ และเตือนพ่อแม่ผู้ปกครอง หลังสูญเสียลูกชายวัย 12 ปี จากอาการเส้นเลือดในสมองแตก เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คุณพ่อเจ้าของโพสต์ เล่าว่า เส้นเลือดสมองแตกในเด็ก เป็นอาการที่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดกับเด็ก เพราะส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ใหญ่ ที่มีปัญหาทางสุขภาพอื่นเป็นปัจจัย เช่น ความดัน หรือ ความเสื่อมของเส้นเลือดในสมอง แต่ลูกผมอายุแค่ 12 ปี เหมือนมีอาการปวดหัว ที่ไม่เรื้อรัง เป็นแล้วหาย นานๆ จะเป็นครั้งนึง ปีนึง แค่ 2-3 ครั้ง ให้ไปทานข้าว หรืออาบน้ำก็หาย ไม่มีอะไรผิดสังเกต

เช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 08.00 น. ลูกชายตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ร้องปวดหัวมาก ตื่นลงมาเพื่อให้ผู้ใหญ่ช่วย คุณแม่ลองให้ทานพาราไป 1 เม็ด แล้วใช้เจลเย็นๆ ประคบ ทุกคนเตรียมตัวพาไปหาหมอ เพราะรู้สึกแปลก ผ่านไปสักครู่ ประมาณ 10 กว่านาที ดูอาการไม่ดีขึ้น ลูกเริ่มบ่นว่าหูอื้อ คุณแม่มาดูอาการ เหมือนเริ่มนิ่ง คุณแม่ถามอาการว่าดีขึ้นไหม ลูกค่อยตอบช้าๆ แค่พยักหน้าแล้วหมดสติไป แล้วทิ้งตัว ตาปรือ เหมือนหลับ แต่ปิดตาไม่สนิท เปิดเปลือกตาดูตาลอย ไม่ทันสังเกตว่าม่านตาเปิดหรือไม่ ทุกคนรีบอุ้มน้องเพื่อจะไป รพ. ในทันที

ที่บ้านอยู่ฝั่งคลอง ต้องข้ามเรือและต้องไปเอารถ ตอนนั้นพี่ชายก็ตัดสินใจ โทรตามพี่อีกคนที่ทำงานอยู่ไม่ไกลให้มาทันที และให้พี่ชายช่วยแจ้งกู้ภัย ให้ติดต่อรถฉุกเฉินให้ทันที ทุกคนพยายามอุ้มน้อง แต่น้องทิ้งตัว ไม่สามารถอุ้มได้ จนต้องเอารถเข็น ที่มีในบ้านให้น้องนั่ง แล้วประคองตัวไปเพื่อลงเรือ ใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ข้ามเรือมาที่ฝั่งวัดที่จะออกถนนได้ รถของพี่ชายแฟนก็มารอแล้ว ทุกคนพยายามช่วยอุ้ม จะพาไป รพ.ให้เร็วที่สุด

...

แต่ก็มีคนในชุมชน ให้แวะเข้าศูนย์พยาบาล ที่อยู่ก่อนออกไปถนนใหญ่ (ถือว่าโชคดีมาก ที่มีสถานพยาบาล ที่มีเครื่องช่วยปั๊มหายใจพร้อม) และน้องเริ่มหายใจแผ่วลงแล้ว ระหว่างที่รถฉุกเฉินกำลังเดินทางมา น้องเข้ามารอที่ศูนย์ทันที เจ้าหน้าที่พยาบาลรีบมาดูให้ แจ้งว่า ต้องใช้ที่ช่วยหายใจ ไปเลยไม่ได้ ต้องให้รถพยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่ ใช้เครื่องช่วยหายใจได้ มารับเท่านั้น เพราะถ้าไประหว่างทาง น้องหมดลมหายใจ ภายในไม่กี่นาทีแน่นอน

วันนั้นมีรถกู้ภัยมารอแล้ว รถพี่ชายก็พร้อม แต่ไปไม่ได้ ทุกคนรอรถจากศูนย์เอราวัณ ที่ติดต่อได้เร็วที่สุด กำลังเดินทางมา ใช้เวลารออยู่พอสมควร ช่วงเวลานั้น น้องใช้ที่ช่วยหายใจของศูนย์ฯ ประคองลมหายใจให้น้อง ทุกคนทำดีที่สุดทุกอย่าง ไม่มีเสียเวลาอะไร ทุกอย่างที่ทำดูราบรื่น รถพยาบาลมา รับน้องขึ้นทันที เจ้าหน้าที่ประเมินอาการน้อง ต้องไป รพ.ที่ใกล้ที่สุด รีบโทร.ติดต่อล่วงหน้า แต่ถูกปฏิเสธว่าไม่มีเตียงพอรองรับ

แต่เจ้าหน้าที่ถามมาว่า จะไปไฟท์ที่หน้าห้องฉุกเฉินนะ ระหว่างทางก็โทรติดต่อ รพ.ใกล้เคียง เพื่อเป็นทางเลือก ท้ายที่สุดก็ไป รพ.ที่ใกล้ที่สุด และเป็น รพ. ที่น้องรักษาประจำ ติดต่อหมอที่เคยเป็นเจ้าของไข้ประจำของน้อง ตอนอยู่บนรถติดต่อทุกหนทางที่ช่วยได้ รถฉุกเฉินวิ่งสวนเลนแบบที่อันตรายมาก มาถึง รพ.เร็วมาก พอมาถึงห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ รพ. เห็นอาการน้อง ก็ให้เข้าห้องฉุกเฉินได้ทันที ทุกอย่างยังราบรื่น แพทย์เด็กประจำห้องฉุกเฉินเข้ามาดูอาการทันที เจ้าหน้าที่รถเอราวัณ ส่งแฟ้มการพยาบาลน้อง ที่อยู่บนรถส่งต่อและอธิบายทุกอย่างทันที แพทย์เด็กประเมินในทันที ว่าเป็นอาการทางสมอง โทรตามแพทย์ทางสมอง และแพทย์ประจำของน้อง ทุกท่านมาทันทีไม่ถึงนาที สรุปให้สแกนสมอง แล้วตามแพทย์เฉพาะทางผ่าตัดสมอง ถึงตอนนี้ใช้เวลาไปกว่า 1ชม. โดยไม่มีอะไรสะดุด

ใช้เวลา CT scan ไม่นาน แพทย์ผ่าตัดสมองอ่านผล แล้วตามผมและแฟนมาฟังทันทีว่า ต้องผ่าตัดเอาเลือดในสมองออก ตำแหน่งที่เลือดออก ถือว่าเป็นจุดสำคัญมาก อยู่บริเวณ "ก้านสมอง" โอกาสน้อยมาก ต้องดูหลังจากเอาเลือดที่ออกมาก่อน ถึงจะแจ้งได้ว่าอย่างไร ผมเซ็นเอกสารทุกอย่างให้ รพ. ทำการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เคสนี้อยู่ในข่ายคนไข้วิกฤติ ที่รัฐช่วยค่ารักษาพยาบาลใน 72 ชม. รพ.ไม่ถามอะไรมาก แค่ถ้าน้องมีประกัน ขอบัตรประกันสุขภาพน้อง เพื่อเบิกตามสิทธิ์ก่อน เจ้าหน้าที่ดำเนินการควบคู่กับการเตรียมผ่าตัด ไม่ถึงครึ่ง ชม.จากตอนที่ถึงห้องฉุกเฉิน ทุกอย่างดำเนินการอย่างราบรื่น ผมแฟนและพี่ชายแฟน ทั้งหมดมารอหน้าห้องผ่าตัด แพทย์ทั้งหมดที่มาดูน้องเข้าห้องผ่าตัดทั้งหมด พยาบาลแจ้งว่าใช้เวลา ประมาณ 1-2 ชม.

เราทบทวนภาพสแกนและคำชี้แจง จากแพทย์ที่ผ่าตัดสมอง เรามีความหวังน้อยมาก ทุกคนทำทุกอย่าง ดีที่สุดแล้ว แต่ความหวังริบหรี่มาก อารมณ์ตอนนั้นบีบหัวใจมาก ลืมหายใจเกือบตลอดเวลาที่นั่งรอ มองไปทุกคนไม่มีอะไรจะพูด น้ำตาคลอกันทุกคน แต่ทุกคนก็ยังให้ความหวัง บอกน้อง "ต้องสู้นะ" เวลาประมาณเที่ยง การผ่าเอาเลือดที่ออกในช่องสมอง ตรงบริเวณก้านสมองเสร็จ พยาบาลเอาเอกสาร การขอฉีดสีมาให้ผมเซ็น ผมไม่รีรอ รู้สึกมีความหวังว่า แพทย์ยังตัดสินใจฉีดสี น้องน่าจะมีอะไรที่บ่งบอกว่า ยังไหวหากฉีดสี เรารออีกประมาณครึ่ง ชม. เจ้าหน้าที่พาน้องมาที่ ICU แพทย์ทุกท่าน ที่เข้าไปยืนรอหน้าเตียงน้อง แล้วแพทย์ผ่าตัดสมอง ได้เริ่มอธิบายเคสน้อง ให้ผมและแฟนฟัง

เวลานั้นเรายังหวัง ประโยคแรกที่ผมได้ยินจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัด มันบีบอารมณ์มาก "เราเอาเลือดในช่องสมองออกแล้ว แต่ม่านตาน้องไม่ตอบสนองใดๆ ก้านสมองถูกทำลาย ทำให้ไม่สั่งการอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานอัตโนมัติ ให้ทำงานได้ ในทางการแพทย์ ถือว่า เสียชีวิตแล้ว" ตอนนี้ชีพจรน้องอยู่ได้ เพราะยากระตุ้นและเครื่องช่วยหายใจ ตกลงน้องไม่ได้ฉีดสี เพราะภาวะของสมองถูกทำลายไปมาก แพทย์ไม่ตัดสินใจที่จะเสี่ยงในการฉีดสี เพราะถ้าฉีดสีก็แค่ช่วยให้รู้ว่าเส้นเลือดแตกที่จุดไหน แต่ไม่ได้ช่วยในการรักษาใดๆ

แพทย์ประจำตัวน้องแจ้งว่า ขอให้โอกาสน้อง ได้มีชีพจรอยู่ต่อไป ให้โอกาสอีก 5-7 วัน โอกาสแม้จะน้อยแค่ไหน แต่น้องยังเด็ก ลองให้โอกาสน้องก่อน เวลานั้น ไม่มีความคิดใดๆ มีแต่ความสงสัย ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร เรามองข้ามสัญญาณบางอย่าง ที่น้องเคยบอกไหม ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า น้องเคยถามว่า ทำไมคนเราถึงปวดหัว ซึ่งตอนนั้นน้องเขาไม่ได้ปวดหัว เราก็ค่อยๆ อธิบายว่า ปวดหัวมีหลายอย่างนะ ยกตัวอย่างว่าเขาปวดหัว นอนพัก ไปทานข้าว หรืออาบน้ำก็หาย กรณีแบบนี้ก็แค่ร่างกายมีบางอย่างไม่ปกติ เช่น หิวข้าวไม่มีสารอาหาร หรือ อากาศเย็นไป ร้อนไป ผมก็เคยถามว่า เวลาปวด ปวดจี๊ด หรือปวดตุ๊บๆ เหมือนหัวใจเต้น น้องเขาอธิบายไม่ถูก ถ้าว่าปวดตรงไหน ข้างซ้ายหรือขวา หรือตรงไหน น้องบอกว่า มันก็ตรงกลางๆ บอกไม่ถูก แล้วก็หันกลับไปดูมือถือ ไม่สนใจที่จะคุยกันต่อ ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร ตรงนี้เหมือนเขาบอกอะไรเรา แต่เราไม่รู้ว่านี่คือจุดสำคัญของเคสนี้เลย ทำไมเราไม่เอะใจ ทำไมเราไม่ได้พาเขามาตรวจ คิดอยู่หลายครั้ง แต่สิ่งนึงที่ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติม ในช่วงเวลาที่ออกมารอหน้าห้อง ICU มานั่งคิดทบทวนทุกอย่าง และพยายามถามสาเหตุจากคุณหมอหลายๆ ท่าน เวลาที่เข้ามาตรวจดูรายงานของน้อง

เคสนี้แพทย์หลายท่านสันนิษฐาน จากอาการทั้งหมด เป็นที่น้องเกิดมามีปัญหาเส้นเลือดโป่งพองมาแต่กำเนิด ที่พบได้ทั่วไป แต่คนอื่นอาจจะเป็นที่ช่องท้อง หรือจุดอื่นๆ ในร่างกาย แต่น้องเกิดในจุดที่สำคัญมากๆ เป็นจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เคสลักษณะนี้ น้องมีเวลาแค่ 5 นาทีแรกเท่านั้น เพราะจุดที่เกิดจะอยู่ข้างๆ หรือบนแกนสมองเลย และขนาดของก้อนเลือดใหญ่พอๆ กับลูกกอล์ฟ ต่อให้ไม่ทำให้ก้านสมองเสียหาย สมองส่วนล่างตรงท้ายทอยก็ถูกทำลายไปถึง 2/3 ของเนื้อสมองส่วนนั้น ก็ไม่สามารถเดินหรือขยับตัวได้อีกหลายๆ ปี

วินาทีนั้นเราก็ยังให้โอกาส ทุกคนยังรออยู่หน้าห้องต่อไป ไม่มีใครกล้าบอกคนภายนอก เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังไม่รู้ว่าทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วผลต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกล้าที่จะพูดว่า "น้องจากไปแล้ว" เป็นคำที่พูดไม่ได้ แม้แต่คิดก็อยากจะเอาความคิดนี้ออกไป น้องยังมีชีพจรอยู่ เหมือนน้องยังหลับอยู่ ช่วงเวลาที่รอนั้นมันหนักมาก ระบายอะไรออกมาไม่ได้ ลืมหายใจ นับครั้งไม่ถ้วน มองหน้าแฟนที่แบกรับความรู้สึกอยู่ อยากช่วยแบ่งเบา แต่ตัวเราเองก็หนัก หนักจนคิดอะไรไม่ออก บอกได้แค่ว่า "ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว" , "ธรรมชาติให้เวลาเขาเพียงแค่นี้"

ยิ่งคิดถึงเวลาที่เขาเกิดมา เป็นลูกคนแรก เป็นหลานคนแรกในบ้าน พาน้องๆ ตามมา เป็นพี่ใหญ่ที่ใจดีกับน้องๆ สุภาพตลอด เชื่อฟังพ่อแม่ ดื้อน้อยมาก เป็นที่รักของน้องๆ หน้าเขาดูมีบุญมาก เกิดมาให้ความสุขกับทุกคน ชีวิตนี้ช่างเปราะบางนัก เวลาไม่ได้มีเท่ากันทุกคน ไม่มีใครรู้ว่า เวลาของเราจะสิ้นสุดเวลาใด จงสร้างบุญกุศลในทุกลมหายใจ

เคสนี้ผมอยากแบ่งปัน ให้ทุกคนใส่ใจกับปัญหาเล็กๆ ของ อาการปวดหัว "เส้นเลือดแตกในสมอง" แม้แต่เด็ก อายุยังน้อยก็เกิดขึ้นได้ เด็กหากปวดหัว ต้องถามและสังเกตอาการ ต้องบอกให้เด็กเข้าใจว่า ถ้าเป็นที่จุดเดิมๆ ซ้ำๆ กัน ถึงแม้จะไม่มีอาการหนัก ต้องบอกผู้ใหญ่ ต้องตรวจให้แน่ชัด เพราะตำแหน่งที่เกิดที่เดิมซ้ำๆ จุดนั้นจะเป็นปัญหา ยิ่งเป็นจุดที่สำคัญ ยิ่งต้องรีบหาสาเหตุ

หากเกิดปัญหา เด็กปวดหัวรุนแรง โดยไม่มีสาเหตุ ให้พาไป รพ.ด่วนที่สุด ใช้ความเย็นประคบ ในจุดที่เป็นต้นทาง เช่น ขมับ, กกหู หรือต้นคอ ลดการไหลเวียนเลือด ขึ้นไปที่สมอง (ห้ามใช้ในกรณีที่เส้นเลือดตีบ ซึ่งอาการจะต่างจากน้อง ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ) ติดต่อกู้ภัยและหน่วยฉุกเฉินต่างๆ พร้อมๆกัน จะช่วยประสานงานได้ดีขึ้น สำคัญคือ รพ.ที่ใกล้ที่สุด และควรมี รพ. ที่ไปเป็นประจำ

ข้อมูลนี้อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกกรณี และผมไม่ได้เขียนเพื่อให้พ่อแม่ท่านใด ต้องกังวลหรือวิตกมากจนเกินไป แค่แชร์มาเพื่อเป็นข้อมูลนึง และให้เด็กเขาเข้าใจว่าหากปวดหัว ให้สังเกตตัวเอง ว่าเป็นที่จุดไหน หากเป็นจุดสำคัญจะได้ตรวจก่อนที่จะสายเกินแก้เท่านั้นนะครับ

ผมอยากให้เคสที่เกิดกับน้องเป็นวิทยาทานให้ประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป หากข้อความนี้เป็นประโยชน์ ก็จะช่วยสร้างกุศลให้กับน้อง ด.ช.กรวิชญ์ เตชธนดิเรก ด้วยนะครับ.

ขอบคุณข้อมูล เฟซบุ๊ก Tanapol Teshatanadirek