ในที่สุดสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ล้นระบบสาธารณสุขก็มาถึงจุด “ถังออกซิเจนทางการแพทย์” เริ่มขาดตลาดจาก “ผู้คนกังวลกลัวติดเชื้อ” จนซื้อตุนไว้ยามฉุกเฉินที่ต้องป่วยกักตัวอยู่บ้าน

สาเหตุจาก “ผู้ติดเชื้อ” มีตัวเลขทะลุหมื่นหลายวันเข้าสู่ “วิกฤติโรงพยาบาลเตียงไม่พอรองรับ” ปล่อยให้คนไข้ต้องนอนรักษาตัวอยู่บ้านจนก่อนหน้านี้มี “บางคน” ทนรอไม่ไหวสิ้นใจคาบ้าน และออกมานอนตายข้างถนนตามซอยในเขตกรุงเทพฯ กลายเป็นเหตุสลดหดหู่ใจกันทั้งประเทศ

จนผู้คนตื่นตระหนกกังวล “ออกซิเจนทางการแพทย์ขาดแคลน” ดังปรากฏในหลายประเทศนำมาสู่ความสูญเสียต่างดิ้นรนหาทางรอด “กักตุนถังออกซิเจน” ที่อาจกระทบ “ศูนย์โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอยผู้ป่วย และ Home Isolation” ไม่มีออกซิเจนพอให้ผู้ป่วยเริ่มอาการรุนแรงขาดออกซิเจนก็ได้

ความกังวลออกซิเจนขาดแคลนสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 นี้ ปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี) ผู้ผลิตออกซิเจนรายใหญ่ของประเทศ บอกว่า การระบาดโควิด-19 ลุกลามบานปลายค่อนข้างรุนแรง ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากถึงวันละหมื่นราย

ถังออกซิเจนขาดแคลน แห่ตุน-ทะลักชายแดน

...

ผลักดันให้กลายเป็นปัญหา “เตียงใน รพ.เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่อาจรับผู้ป่วยเพิ่มสะสมได้” ทำให้ผู้มีผลตรวจยืนยันติดโควิดแล้ว “ตกค้างตามบ้าน และชุมชน” รอการเข้าสู่ระบบรักษาอยู่มากมาย ในจำนวนนี้ก็มี “ผู้ป่วยหนัก” มีความจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนทางการแพทย์อย่างเร่งด่วนแล้วด้วย

อีกทั้ง “ประชาชนบางส่วน” รู้สึกกังวลไม่มั่นใจในสถานการณ์โรคระบาดผลักดันให้ต้องซื้อถังออกซิเจน อุปกรณ์ เครื่องผลิตออกซิเจนเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจำเป็นจนทำให้สิ่งเหล่านี้เริ่มหายากขาดตลาดแล้ว

จริงๆแล้ว...“ออกซิเจนทางการแพทย์ในประเทศ” ยังไม่วิกฤติขาดแคลนมากนัก เพราะตามปกติ “บีไอจี” มีกำลังผลิตออกซิเจนสูงสุด 1,000 ตันต่อวัน กระจายใช้เพื่อการแพทย์ตามโรงพยาบาลทั่วประเทศกว่า 200 แห่ง และยังมีบรรจุใส่ถังออกซิเจนสีเขียวจำหน่ายร้านทั่วไปรวมแล้วอยู่ราว 300 ตันต่อวัน

กระทั่ง “โควิดระบาด” มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มเป็นหลักหมื่นคน ในจำนวนนี้มี “ผู้ป่วยหนักสะสม” ทั้งที่รักษาในสถานพยาบาลทั่วประเทศ ผู้ป่วยที่ดูแลตนเองระบบ Home Isolation และผู้ป่วยนอกระบบรักษาตัวอยู่ที่บ้าน มีความจำเป็นต้องได้รับออกซิเจนต่อวันเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ 400 ตัน หรือเพิ่มขึ้นราว 20%

อีกทั้ง “สถานการณ์ระบาดรุนแรง” ที่ไม่มีวี่แววคลี่คลายลง เชื่อว่า “ออกซิเจนเพื่อทางการแพทย์” ก็ยังมีความจำเป็นต่อการรักษา “ผู้ติดเชื้ออาการหนัก” อยู่ในขั้นวิกฤติที่น่าจะเพิ่มขึ้นในเร็วๆนี้อีกมาก

เช่นนี้แล้วจึงมี “แผนเพิ่มกำลังการผลิต และการสำรองออกซิเจนเหลว” ในถังเก็บสำรองที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ขนาดความจุ 7,300 ตัน ในเดือน ส.ค.นี้จะมีการเปิดโรงงานแยกอากาศแห่งใหม่ ที่มีกำลังการผลิตออกซิเจนเพิ่มมากขึ้นอีก 150 ตันต่อวัน รวมเป็นเกือบ 1,150 ตันต่อวัน

ถังออกซิเจนขาดแคลน แห่ตุน-ทะลักชายแดน

สิ่งสำคัญ “การขนส่งออกซิเจน” เป็นรูปแบบของเหลวแล้ว “โรงพยาบาล” ก็เปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซบรรจุลงถังเป็นออกซิเจน ข้อดีในการขนส่งแบบของเหลว “สามารถระเหยกลายเป็นก๊าซออกซิเจน 800 เท่า” ทั้งยังมีออกซิเจนจาก “อุตสาหกรรม” ความบริสุทธิ์มาตรฐานเดียวกันนำมาเสริมความต้องการทางการแพทย์ได้อีก

ดังนั้นแง่กำลังผลิตแล้วเพียงพอรองรับความต้องการระบบสาธารณสุขไทยได้แน่ๆ เพราะ “โรงพยาบาล” ไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มเติมแล้วทำให้ตัวเลขการใช้ออกซิเจนคงที่ ในส่วน “โรงพยาบาลสนาม” ก็สามารถใช้เป็นออกซิเจนเหลวได้ ทำให้จุดนี้ไม่น่าเป็นห่วงกังวลมากนัก

ประเด็นความกังวลอยู่ที่ “ผู้ใช้ออกซิเจนแบบถังอยู่บ้าน” เดิมมีอยู่ไม่ค่อยมากแต่เมื่อ “วิกฤติโรคระบาดโควิด” ทำให้ผู้ใช้กลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก “ผู้ป่วยบางคน” ไม่อาจเข้าระบบในโรงพยาบาลได้ “ต้องรักษาตัวอยู่ในบ้านตามชุมชน” จำเป็นต้องใช้ถังออกซิเจนจำนวนมาก ทำให้เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนด้วยซ้ำ

ถังออกซิเจนขาดแคลน แห่ตุน-ทะลักชายแดน

ด้วยเหตุจาก “ประเทศเพื่อนบ้าน” กำลังเผชิญ “โควิดระบาดหนัก” ต้องการถังออกซิเจนสีเขียวจำนวนมาก ทำให้รับซื้อราคาค่อนข้างสูงเฉพาะตัวถังขนาด 6 คิว 12,000-15,000 บาทต่อถัง แต่ที่ในไทยซื้อขายกันราว 4,000-6,000 บาทต่อถัง ทำให้กลายเป็นแรงจูงใจ “คนบางกลุ่ม” พยายามนำถังออกนอกประเทศ

“เท่าที่เข้าใจ...“ลักษณะการนำถังออกซิเจนออกนอกประเทศ” ก็ไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมายใดๆ เหตุนี้จึงมีการลำเลียงนำออกนอกประเทศกันอย่างต่อเนื่องส่งผลทำให้ “ถังออกซิเจนถูกดึงออกจากระบบมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น” กลายเป็นสภาวะขาดแคลนไม่มีถังออกซิเจนใช้หมุนเวียนในประเทศได้ตามมา”

ตอกย้ำด้วย...“ถังหมุนเวียนใช้ทั่วประเทศ 9 หมื่นถัง” กำลังถูกดึงออกระบบลดน้อยอีกด้วย “คนในประเทศกักตุน” จากความกังวลกับสถานการณ์ “ผู้คน” จำนวนไม่น้อยต่างพากัน “ซื้อถังเปล่าเก็บ” เตรียมใช้งานยามฉุกเฉิน สิ่งนี้ยิ่งทำให้ “ถังออกซิเจน” หาซื้อได้ยากขึ้นเกินกว่าที่จะเป็นแล้วด้วยซ้ำ

ถังออกซิเจนขาดแคลน แห่ตุน-ทะลักชายแดน

ไม่นานนี้มีข่าว “ลักลอบนำถังแก๊สหุงต้มหรือถัง LPG” ดัดแปลงเป็นถังเติมออกซิเจนแทนแล้วนับว่า “อันตรายเสี่ยงถังระเบิด” จากปฏิกิริยาเคมี “ออกซิเจนเจอแก๊สเชื้อเพลิงหุ้ม” ทั้งเสี่ยงกระทบต่อร่างกายจริงๆแล้ว “ถังประเภทนี้” โรงงานบรรจุออกซิเจนมักไม่เติมให้เพราะเป็นถังไม่มาตรฐาน มอก.ออกซิเจนทางการแพทย์ ไม่ผ่านการทดสอบภาชนะบรรจุ มอก.358-2551 แต่ต้องยอมรับว่า “โรงงานบรรจุออกซิเจน” ตั้งอยู่หัวเมืองใหญ่ตามภูมิภาคมากมาย ที่อาจไม่ตรวจสอบจนหลุดรอดก็มีอยู่

เบื้องต้นตอนนี้ “สั่งถังออกซิเจนใหม่” เข้ามาเพิ่มจากประเทศจีนราว 20% ของถังที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพราะถังออกซิเจนทางการแพทย์ไม่สามารถผลิตในไทยได้ จึงต้องสั่งนำเข้าเท่านั้น หากเป็นไปได้มีการประสานระหว่างรัฐต่อรัฐจะช่วยทำให้การนำเข้าสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อนำมารองรับการใช้ในช่วงวิกฤติโควิดนี้

ตอนนี้แนะนำว่า “ภาครัฐ” ควรต้องควบคุมการนำออกนอกประเทศ เพื่อให้มีถังออกซิเจนใช้หมุนเวียนในประเทศได้ไม่กระทบต่อ “ผู้ป่วยโควิดรักษาตัวอยู่บ้าน...ชุมชน” ที่จำเป็นต้องใช้ “ถังก๊าซออกซิเจน” ในระหว่างรอเข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาล อันเป็นการช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยได้หลายคนด้วยซ้ำ

ส่วน “ประชาชน” ก็ไม่ควรกักตุนถังออกซิเจน เพราะสุดท้ายไม่มีความรู้ ใช้งานแบบผิดวิธีมัก “เสี่ยงอันตรายหลายด้าน” ทั้งเรื่องถังอายุเกิน 5 ปีต้องตรวจสอบมาตรฐาน มิเช่นนั้นเสี่ยงมีรอยรั่วสิ่งแปลกปลอมเข้าไปภายในถัง และก่อให้เกิดออกซิเจนชื้นมากก็ไม่ได้แห้งไปก็ไม่ดี อันจะส่งผลต่อร่างกายตามมาได้ทั้งสิ้น

ถังออกซิเจนขาดแคลน แห่ตุน-ทะลักชายแดน

ย้ำว่า...“การระบาดโควิด” ทำให้หลายโรงพยาบาลในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเข้ารักษาได้ กลายเป็นปัญหา “ตกค้างตามบ้าน และชุมชน” ในจำนวนนี้ก็มี “ผู้ป่วยหนักสีเหลือง และกลุ่มสีส้ม” จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนทางการแพทย์เร่งด่วน

ในส่วน “บีไอจี และผู้แทนจำหน่ายรอบกรุงเทพฯ” จัดให้หน่วยงาน มูลนิธิ อาสาสมัครกู้ภัย นำถังมาเติมออกซิเจนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อจัดส่งให้ผู้ป่วยโควิดได้อย่างทันท่วงที ทั้งยังสนับสนุนมอบ “ถังออกซิเจนให้มูลนิธิหลายองค์กร” ในการนำออกซิเจนไปช่วยผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่ดูแลตนเองที่บ้านอีกด้วย

ยืนยันว่า “ปริมาณการผลิตออกซิเจน” มีเพียงพอต่อความต้องการทางการแพทย์ ในการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นได้แน่นอน แต่ฝากถึง “หน่วยงานรัฐ” ควรมีมาตรการป้องกัน “การดึงถังออกนอกระบบ” เพื่อให้มีหมุนเวียนตามระบบกลไกเดิม สิ่งนี้จะทำให้ไม่ขาดแคลนสำหรับใช้ในยามวิกฤติครั้งนี้

ขอฝากกันไว้ว่า “อย่ากักตุนถังออกซิเจนกัน” สุดท้ายใช้ไม่ถูกวิธีก็กลายเป็น “โทษมากกว่าคุณ” แต่ควรปล่อยอยู่ในระบบเกิดการหมุนเวียนใช้ประโยชน์ร่วมกันเท่านี้ก็ไม่ขาดแคลนแล้ว

เรา “คนไทยทุกคน” จะต้องผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมกัน.

ถังออกซิเจนขาดแคลน แห่ตุน-ทะลักชายแดน