คนไทยอยู่กันอย่างหวาดผวาจาก “การระบาดโควิด–19” แบบฉุดไม่อยู่เหมือนฝันร้ายกลายเป็นจริง ด้วยยอดผู้ติดเชื้อใหม่ทะลุหมื่น และผู้เสียชีวิตทะลุร้อยที่มีแนวโน้มไต่ระดับเพิ่มสูงขึ้นอีก
ปัจจัยสำคัญในการระบาดครั้งนี้มาจาก “การแพร่เชื้อในครอบครัว คนรู้จักและเพื่อนบ้าน” อันเป็นเหตุให้ลุกลามกระจายสู่ “กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว” ส่งผลต่ออาการเจ็บป่วยหนักรุนแรง และถึงขั้นเสียชีวิตเพิ่มสูงเรื่อยๆ จนแทบจะล้นโรงพยาบาลแล้วด้วยซ้ำ
ซ้ำร้ายมีกระแสดราม่า “วัดบางแห่งไม่รับฌาปนกิจศพโควิด–19” ทั้งยังมี “เรียกเก็บเงินค่าทำศพสูงลิบลิ่ว” ที่เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต และซ้ำเติมความลำบากมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“คณะสงฆ์และคณะกรรมการบริหารวัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง จ.นนทบุรี” เล็งเห็นปัญหาสำคัญนี้จึงสร้างเมรุหลังใหม่ “สุคติสถานผู้วายชนม์รูปแบบนิวนอร์มอล” ส่วนหนึ่งเป็นการรองรับศพเสียชีวิตจากโควิด-19 แบบไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อแก้วิกฤตการณ์ขยายการบริการ...ด้านศาสนสงเคราะห์...
...
ด้วยฌาปนกิจศพแก่ผู้วายชนม์เรียบง่าย ประหยัด ประโยชน์ อันเป็นบ้านหลังสุดท้ายให้ผู้วายชนม์ สุขสงบในสัมปรายภพ เพื่อช่วยซับน้ำตาผู้อยู่เบื้องหลังที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักครั้งนี้
องค์ประกอบสุคติสถานนี้ปรับปรุงภูมิทัศน์ในเนื้อที่ 1,500 ตร.ม. เป็นอาคารศาลาคู่เมรุ 4 ชั้น และชั้นที่ 1-3 ปรับเป็นศาลาบำเพ็ญกุศล 10 ศาลา ส่วนเมรุเตาเผามีอยู่ 2 เตาเผา แบบไร้มลพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่ชั้น 4 พร้อมส่วนรับรองและลิฟต์ 3 ตัว สะพานข้ามถนน 1 สะพาน รวมแล้วมีศาลาต้อนรับ ห้องสุขา 46 ห้อง
อันเกิดจาก “แรงศรัทธาจากสาธุชน” ส่งผลให้งานก่อสร้างเสร็จไปแล้ว 71% คงเหลืออีก 29% กำหนดเปิดใช้งานในเดือน ต.ค.นี้ พระปัญญานันทมุนี (สง่า สุภโร) เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ เล่าว่า
จุดประสงค์ก่อสร้างสุคติสถานนี้มาจาก “เมรุเผาศพหลังเก่า” ถูกใช้มาไม่ต่ำกว่า 40-50 ปี ผ่านการใช้เผาศพไปแล้วไม่ต่ำกว่า 700-800 ศพต่อปีที่เดิมมีการจัดงานฌาปนกิจศพเฉพาะช่วงเย็นรองรับได้ 2 ศพต่อวัน ก่อนขยายการเผาศพรองรับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวันเป็นวันละ 3 ศพ 3 เวลา คือ เช้า เที่ยงและเย็น
กระทั่งมี “การระบาดโควิด–19” ทวีความรุนแรงส่งผลให้มี “ผู้เสียชีวิต” เพิ่มขึ้นตามไปด้วย “ศพผู้ติดเชื้อ” ต่างทยอยหลั่งไหลเข้ามาทำพิธีฌาปนกิจที่วัดชลประทานฯไม่ขาดสายที่เราไม่อาจปฏิเสธญาติโยมได้
ทำให้ขยายการฌาปนกิจศพเพิ่มอีกในช่วงหลัง 2 ทุ่ม เพื่อทำหน้าที่ศาสนสงเคราะห์แก่ “ผู้เสียชีวิตโควิด” ที่จำเป็นต้องเผาเร่งด่วน ในการป้องกันการแพร่ระบาดมากกว่าเดิม อันมีเงื่อนไขสามารถรับศพติดเชื้อได้ 1 ศพต่อวันอันเกิดจาก “เตาเผาศพ” มีอายุใช้งานเก่าแก่ชำรุดมากแล้ว
ดังนี้รวมความแล้ว “เตาเผาศพ” แทบไม่มีวันหยุด กลายเป็น “เผาศพไปซ่อมไป” ในบางครั้งยังไม่อาจเผาศพได้เต็มประสิทธิภาพจน “เกิดมลภาวะทางอากาศ” ทำให้ชาวบ้านอาศัยรอบวัดเดือดร้อนอยู่เสมอ
เช่นนี้จึงสร้างเมรุเตาเผาหลังใหม่อีกแล้ว “บูรณะเมรุหลังเก่า” เพื่อรองรับเหตุการณ์ในวันข้างหน้าอันใกล้นี้ที่คาดว่าน่าจะมี “ผู้เสียชีวิตโควิด–19” เข้ามาทำพิธีฌาปนกิจศพมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการก่อสร้างสุคติสถานแล้วเสร็จจะสามารถรองรับการจัดทำพิธีฌาปนกิจศพเป็น 8 ศพต่อวันตามมา
ทว่า “จุดเด่นสุคติสถาน” มุ่งเน้น 3 ประการ คือ ประการแรก... “ไม่ก่อมลพิษเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ลักษณะเป็นเตาเผาแบบแก๊ส 2 ห้องเผา โดยห้องเผาแรกเป็นห้องเผาศพ และห้องที่ 2 เป็นห้องเผาควันที่เกิดจากห้องเผาแรกก่อนระบายอากาศเสียสู่บรรยากาศด้วยระบบควบคุมมลพิษประสิทธิภาพระดับเยี่ยม
ประการที่สอง...“รักษาแวดล้อม” ด้วยบริการพื้นที่ที่มีอยู่ 1.5 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ด้วยต้องการสร้างศาลาบำเพ็ญกุศล 10 หลังนี้มักใช้ เนื้อที่แนวราบ 5-10 ไร่ ทำให้ใช้เนื้อที่ที่มีจำกัดยกเป็นอาคารสูง 4 ชั้น ในแต่ละชั้นทำพิธีบำเพ็ญกุศล 3 ศพ และชั้นที่ 4 ใช้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพ
ประการสุดท้าย... “ยึดคำสอนพระพรหมมังคลาจารย์” มุ่งเน้นระเบียบ เรียบง่าย ประหยัด ประโยชน์ ทำถูกหลักธรรมวินัย โดยเฉพาะ “ยุคโควิด–19 ระบาด” ที่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากนี้ “สุคติสถาน” จะเป็นสถานที่รองรับเผาศพผู้ติดโควิดฟรีไม่มีค่าใช่จ่ายใดๆ ที่วัดจะให้การดูแลเสมือนเป็นญาติคนสำคัญ
ในการจัดทำงานศพจนเสร็จสิ้นตามมาตรการคำแนะนำของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด อีกทั้งมี “การจัดระดมโลงศพ” เพื่อมอบให้โรงพยาบาลขาดแคลนต้องการนำไปบรรจุศพสามารถมารับได้ฟรี
เรียกว่า “ศาสนสงเคราะห์” แก่ประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก “ในยามวิกฤติโรคระบาดรุนแรง” ที่มีคนป่วยแล้วตายไป “วัดชลประทานฯ” ขอเป็นส่วนหนึ่งดูแลเสมือนเป็นญาติ “ไม่อาจทิ้งให้เดียวดายไปได้” เพราะจะดูเป็นการซ้ำเติมความบอบช้ำที่ถูกโรคระบาดนี้จัดการจนกลายเป็นคนอนาถาก็เลวร้ายมากพอแล้ว
ต้องเข้าใจว่า “โควิดเป็นโรคติดต่อร้ายแรง” ต้องแยกออกจากครอบครัวไปรักษาในโรงพยาบาล “ญาติมิตรสหาย” ก็ไม่อาจเข้าเยี่ยมดูอาการเป็นครั้งสุดท้ายได้ แม้แต่ “ตายแล้ว” ต้องกลายเป็น “ศพอนาถา” ต้องพากันนำร่างตระเวนหาวัดทำพิธีเผาศพก็ยากลำบากมากเหลือเกิน ทำให้เห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจมากยิ่งนัก
ดังนั้น “สุคติสถาน” เป็นบ้านหลังสุดท้ายก่อนย้ายภพภูมิ ทั้งยังเป็นการช่วยซับน้ำตาผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเชื่อว่า “ไม่มีใครตายสองครั้งได้” จึงต้องจัดพิธีฌาปนกิจอย่างสมเกียรติเป็นที่พอใจแก่ญาติผู้เสียชีวิตให้ได้สบายใจ มิใช่นำศพมาทิ้งเกลื่อนกลาดให้กลายเป็นการระบาดต่ออีก
เรื่องนี้ไม่ใช่มีเฉพาะ “วัดชลประทานฯ” ที่อ้าแขนรับศพเสียชีวิตจากโควิด-19 แต่ยังมี “วัดทั่วประเทศ” พร้อมลุกขึ้นมาช่วยทำฌาปนกิจให้ได้อยู่เสมอ เพราะไม่ให้ศพต้องถูกปล่อยอุจาดจนคนต้องประจานว่า “เมื่อตายแล้วแม้ที่เผาก็ไม่มี” เพื่อให้ศาสนาพุทธเป็นสถานที่พึ่งแก่พี่น้องทุกเชื้อชาติศาสนาสืบไป
“ย้ำว่ายุคโควิด-19 เป็นวิกฤติอันน่าสะพรึงกลัวเลวร้ายสามารถคร่าชีวิตผู้คนแบบไม่เลือกหน้า ดังนั้นศาสนาพุทธไม่มีคำว่า “แบ่งแยกชนชั้นศาสนา” ทุกคนสามารถพึ่งพายามทุกข์ยากได้เท่ากัน เพราะเราหวังเพียงว่า “เพื่อนมนุษย์จบชีวิตลง” ยังมีสถานที่หนึ่งเรียกว่า “วัด” พร้อมส่งมอบน้ำใจดีๆให้อยู่เสมอ”
ประการเช่นนี้แล้ว “ฝ่ายปกครองบ้านเมือง” ต้องหันกลับมามองช่วยเหลือ “วัดขาดแคลน” ด้วยเช่นกัน...บางแห่งมีความต้องการ “สิ่งของบางอย่างจำเป็นต้องใช้เร่งด่วน” เพราะ “วัด” เป็นสถานที่ที่น่าสงสารถูกมองข้ามเหลียวแลเสมือนกลายเป็น “รัฐอิสระ” ที่ขาดการอุปถัมภ์มาช้านาน ทำให้ต้องพึ่งพาตัวเองมาตลอด
พระปัญญานันทมุนี ย้ำว่า ฉะนั้นตอนนี้ “วัด” กำลังตกที่นั่งลำบาก “ขาดการดูแลจากระบบหน่วยงานรัฐ” แต่โชคดี “วัดชลประทานฯ” ยังพอมีญาติโยมเข้ามาช่วยเหลือทำให้อยู่รอดได้ถึงวันนี้ เหตุนี้จึงมีเหตุการณ์ “ปฏิเสธเผาศพผู้เสียชีวิตโควิด หรือเรียกเก็บค่าทำพิธีศพ” ขึ้นมานี้ก็น่าเห็นใจวัดอยู่เช่นกัน
ถ้าว่า “หน่วยงานผู้ดูแลโดยตรง” มีงบประมาณจัดสรรให้ “วัด” เป็นค่าดำเนินการเผาศพแล้วยังมีการเรียกเก็บเงิน หรือปฏิเสธการทำพิธีเผาศพอยู่อีกแบบนี้ก็ไม่น่าจะเรียกเป็นวัดได้อีกต่อไป?
แม้แต่หากมี “งบประมาณให้วัด” บางครั้งกลับต้องถูกตรวจสอบอีก เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจอยู่เช่นกัน แต่เราคงทำหน้าที่ “คอยดูแลเพื่อนมนุษย์” เพื่อให้ได้รับการดูแลทั้งคนเป็นและคนตายไปแล้วได้มีที่พึ่งพากันไป ด้วยเงินจาก “การทำบุญของพระแต่ละรูป” แล้วนำมารวบรวมกันนำออกมาก่อให้เกิดประโยชน์
ส่วน “การสร้างสุคติสถาน” บ้านหลังสุดท้ายก่อนย้ายภพภูมินวัตกรรมการฌาปนกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ “ญาติโยม” สามารถร่วมบุญบริจาคทำบุญได้เลขที่บัญชี ธ.กรุงเทพ 2074279544 ชื่อบัญชี วัดชลประทานรังสฤษดิ์ หมายเลขโทรศัพท์ 08-6607-5273/08-3303-9425/08-6393-4483 ได้ทุกวัน
สุดท้ายแล้ว “วัด โรงพยาบาล” สร้างมาเพื่อดูแลเกื้อหนุนต่อ “สังคมโดยรวม” เมื่อเกิดโรคระบาดเช่นนี้ย่อมต้องเป็นที่พึ่งสำคัญแก่ “ประชาชน” ให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกันเจริญพร.