น.ส.พิมพ์ภาวดี พหลโยธิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย เปิดเผยว่า องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกับบริษัทวิจัยระดับโลก GlobeScan สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวจีนในประเด็นการซื้อขายงาช้าง จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 คน ใน 15 เมือง ซึ่งเป็นการสำรวจที่จัดทำขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 นับตั้งแต่ประเทศจีนประกาศปิดตลาดงาช้าง พบว่าโดยรวมความต้องการซื้องาช้างของคนจีนในประเทศลดลงเรื่อยๆ แต่ยังคงมีกลุ่มสำรวจบางกลุ่มที่ยังคงมีความต้องการในการซื้องาช้างอยู่ แม้ปัจจุบันโควิด-19 จะส่งผลให้ธุรกิจการท่องเที่ยวหยุดชะงักในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยก็ตาม
ด้านนายเจษฎา ทวีกาญจน์ ผู้จัดการโครงการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ประจำภูมิภาคลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นตลาดซื้องาช้างยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีการเดินทางเป็นประจำและมีการซื้องาช้างระหว่างการเดินทาง แม้ว่าในปี 2563 การเกิดโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางระหว่างประเทศ แต่เรายังคงมีความจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของการซื้องาช้างมีการเปลี่ยนแปลงและตลาดการซื้อขายงาช้างที่ขับเคลื่อนโดยนักท่องเที่ยวต้องยุติลง และถึงแม้ว่าเกือบ 3 ใน 4 หรือ 73% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าการนำงาช้างเข้าประเทศจีนเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ยังมีอีก 19% ที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ทั้งนี้ การลักลอบนำงาช้างกลับเข้าประเทศจีนไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ในการห้ามนำเข้าหรือส่งออกงาช้างโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
...
“การซื้อผลิตภัณฑ์จากงาช้างในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในปี 2563 นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจในปี 2560 ทั้งนี้ เหตุผลยอดนิยมของการซื้องาช้างคือเพื่อให้เป็นของขวัญ โดยผู้ถูกสำรวจร้อยละ 88 เชื่อว่าการค้างาช้างเป็นเรื่องผิดกฎหมายและการสำรวจในครั้งนี้พบว่าสัดส่วนของกลุ่มนักซื้อตัวจริงได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ร้อยละ 8 ในปี 2563 ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งก่อนจะมีการประกาศปิดตลาดการค้างาช้างในประเทศจีนในปี 2560 โดยกลุ่มผู้ซื้อนี้มองว่าการซื้องาช้างมีวัตถุประสงค์เพื่อคุณค่าทางศิลปะ” นายเจษฎากล่าว.