สปสช.ย้ำอีกครั้ง ติดเชื้อ ป่วยโควิด-19 รักษาฟรีทุกสิทธิ เข้าโรงพยาบาลเอกชนไม่เรียกเก็บเงินเพิ่ม ยืนยันมีระบบจัดหาเตียงพร้อม ชวนลงทะเบียนหาเตียงผ่านไลน์ @sabaideebot

เมื่อวันที่ 16 เม.ย. พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ ที่ปรึกษาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ "ติดเชื้อโควิด-19 จะหาเตียงอย่างไร เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ สายด่วนและ LINE สบายดีบอต" จัดโดย สปสช. ตอนหนึ่งว่า หากแพทย์เห็นว่ากลุ่มเสี่ยงที่เข้ามาคัดกรองโควิด-19 มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา หรือต้องผ่าตัดใดๆ สปสช. จะดำเนินการจ่ายชดเชยให้ โดยครอบคลุมประชาชนคนไทยทุกคน ทุกสิทธิการรักษา ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 

ทั้งนี้ ถ้ากลุ่มเสี่ยงเข้ารับการคัดกรองแล้วพบว่า ติดเชื้อโควิด-19 และมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน สปสช.ได้ทำข้อตกลงกับภาคเอกชนแล้วจะไม่มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย แต่กรณีผู้ป่วยบางรายมีประกันสุขภาพเอกชนอาจจะต้องใช้ส่วนนั้นไปก่อน ส่วนการจ่ายชดเชยให้โรงพยาบาลเอกชนนั้น จะเป็นไปตามระบบ UCEP หรือรักษาฉุกเฉินเร่งด่วน ยืนยัน สปสช.จะจ่ายชดเชยให้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน โดยครอบคลุมทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

พญ.กฤติยา กล่าวต่อว่า กรณีผู้ป่วยนอก (OP) จะจ่ายค่าห้องปฏิบัติการ (Lab) ค่าเก็บตัวอย่าง ค่าใช้จ่ายในกรณีที่มียารักษาเฉพาะผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด-19 หรือค่ารถส่งต่อระหว่างหน่วยบริการ บ้าน ค่าด่านตรวจคัดกรอง State Quarantine สำหรับกรณีผู้ป่วยใน (IP) จะมีการจ่ายชดเชย ค่า Lab ค่ายารักษา และที่สำคัญคือ ค่าชุด PPE หรืออุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจ่ายเชื้อ จะมีการจ่ายชดเชยตามจริงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้เข้าไปสัมผัสผู้ติดเชื้อ

...

ขณะที่ค่าห้องนั้น ถ้าจำเป็นต้องรักษาในห้องความดันลบ (Negative Pressure) สปสช. จะจ่ายชดเชยให้ 2,500 บาทต่อวัน ส่วนค่าหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ เช่น โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel หากโรงพยาบาลเห็นว่า มีความจำเป็นต้องย้ายผู้ป่วยไปรักษาตัวยังสถานที่นั้นๆ จะมีการจ่ายชดเชยให้ไม่เกิน 1,500 บาทต่อคนต่อวัน รวมไปถึงค่ารถส่งต่อผู้ป่วยไปยังจุดต่างๆ ด้วย  

พญ.กฤติยา กล่าวอีกว่า เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคเจ็บป่วยฉุกเฉิน และเป็นภาระต่อประชาชนในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง อยากจะให้ความมั่นใจว่า ถ้าทำตามคำแนะนำของแพทย์ หรือหน่วยบริการนั้นๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม ในกรณีที่มีปัญหาผู้ใช้สิทธิบัตรทอง รวมไปถึงผู้เข้าเกณฑ์ทุกอย่างแล้วยังถูกเรียกเก็บค่าบริการ ให้สอบถาม-แจ้งเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1330

ด้าน พญ.ปฐมพร ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ตามขั้นตอนแล้วการหาเตียงจะเริ่มจากโรงพยาบาลที่เข้าตรวจ ถ้าเตียงเต็มก็จะเป็นเตียงของโรงพยาบาลเครือข่ายของโรงพยาบาลนั้นๆ ในกรณีที่เตียงโรงพยาบาลเครือข่ายเต็มอีก จะมีการหาเตียงข้ามเครือข่าย ซึ่งมีศูนย์เอราวัณทำหน้าที่เป็นศูนย์บริหารจัดการเตียง ส่วนจะได้นอนที่โรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย

อย่างไรก็ตาม จะมีการตรวจคัดกรองและเอกซเรย์ปอดก่อนเสมอ ถ้าผลการเอกซเรย์ออกมาว่า มีข้อสงสัยภาวะปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะได้เข้ารับการรักษาตัวโรงพยาบาล ส่วนกรณีไม่มีข้อสงสัย อาการน้อย สุขภาพดี อายุน้อยกว่า 50 ปี และไม่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยถึงจะสามารถเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ซึ่งจะมีแพทย์และพยาบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

พญ.ปฐมพร กล่าวต่อว่า สำหรับคลินิกเอกชนที่ตรวจคัดกรองจะต้องมีโรงพยาบาลจับคู่กัน เพื่อให้แน่ใจได้ว่า จะหาเตียงได้ การเข้าตรวจต้องเข้าตรวจอย่างถูกวิธีและจะต้องช่วยดูแลให้สามารถหาเตียงได้ ทั้งนี้ อยากเชิญชวนประชาชนสามารถลงทะเบียนหาเตียงผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) โดยเพิ่มเพื่อน @sabaideebot (สบายดีบอต) ซึ่งจะเป็นโปรแกรมอัตโนมัติในการจัดระบบข้อมูล บันทึกประวัติสุขภาพ ให้คำแนะนำ ตลอดจนมีฐานข้อมูลเฝ้าระวังโรค ซึ่งประชาชนสามารถบันทึกความเสี่ยงได้ และข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังฐานข้อมูลที่สัมพันธ์กับการจัดหาเตียงด้วย.