ราวๆปี พ.ศ.2500 เกิดวิวาทะระหว่างท่านอาจารย์พุทธทาส ปราชญ์ทางธรรม กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปราชญ์ทางโลก เรื่อง “จิตว่าง”
อาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า เป็นนักธุรกิจจึงทำจิตให้ว่างไม่ได้ เพราะจิตต้องวุ่นคิดหาเงิน
คำถามทำนองเดียวกัน หลวงพ่อปัญญานันทะ ก็เคยเจอ ท่านไปพูดถึงการปฏิบัติธรรมในมหาวิทยาลัย นักศึกษาก็ถามท่านว่า เมื่อเวลาท้องหิว จะไปปฏิบัติธรรมได้อย่างไร
(พจนานุกรม ฉบับปัญญานันทะ ธรรมสภา จัดพิมพ์เผยแพร่ ฉลอง 100 ปีชาตะปัญญานันทะ พ.ศ.2554)
คำถามนี้ ท่านปัญญาบอกว่า แสดงว่านักศึกษายังไม่เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมะคืออะไร เขาอาจจะเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมะคือการนั่งหลับตาอยู่คนเดียวเงียบๆในวัด
“เพราะท้องหิวนั่นแหละ เราจึงต้องปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดอิ่มท้อง เพื่อให้มีสิ่งที่จะกินจะใช้ในชีวิตประจำวัน”
การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำได้ทุกคน ทุกหน้าที่ ทุกเรื่องที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
คนอยู่ครองบ้านครองเรือน ต้องปฏิบัติธรรมชั้นเบื้องต้น คือการทำมาหากิน ทำหน้าที่การงาน
เป็นชาวนาก็ต้องรู้ว่าเรามีหน้าที่ชาวนา เป็นชาวสวนก็ต้องทำสวน คนค้าขายก็มีหน้าที่ค้าขาย เป็นข้าราชการก็ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติราชการ
หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่
แต่ถ้าจะเน้นว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรมจริงๆ ท่านอาจารย์ปัญญานันทะบอกว่า ต้องเป็นงานที่ใน “องค์มรรค” เรียกว่า “สัมมาอาชีวะ” คืองานที่ไม่เดือดร้อนแก่ใครๆ
เราผู้ทำก็ไม่เดือดร้อน ผู้เกี่ยวข้องก็ไม่เดือดร้อน
งานที่เราสร้างขึ้นนั้น ไม่เป็นปัญหา ไม่สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นในสังคม ไม่ทำลายสังคมให้พิการ
แต่ถ้าเป็นงานที่ไม่ถูก ไม่ตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นงานที่ไม่ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม งานที่ไม่เป็นสัมมาชีวะ แต่เป็นมิจฉาชีพ อาชีพที่สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ
...
งานนั้นเป็นงานที่ไม่ชอบ ไม่ควร
งานที่เป็นธรรมะ ผู้ทำงานจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นงานส่วนตื้นๆที่สามัญชนทำได้ทั่วๆไป
ถ้าเราเอาเพียงเท่านั้น ท่านปัญญานันทะท่านว่า ยังไม่พอ ต้องก้าวหน้าสูงไปกว่านั้น
การทำงานระดับสูง คืองานที่ทำด้วยจิตว่าง นั่นคือการปฏิบัติธรรมแท้
คำสอนการทำด้วยจิตว่าง ของท่านปัญญา ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็คงไม่เข้าใจ ต้องยืมคำของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มาตั้งข้อสงสัย ทำจิตว่างไม่ได้ เพราะจิตต้องวุ่นกับการทำมาหาเงิน
ผมตามอ่านคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส จนพอจับความได้ คำสอน “จิตว่าง” ของท่านนั้น เป็นคำสอนที่ใช้ภาษาธรรม คนที่เรียนรู้เรื่องธรรม จนรู้จักคำว่าโลกุตรชน หรือ “คนที่อยู่เหนือโลก” มาด้วยกัน ฟังแล้วจึงเข้าใจ
ส่วนคนที่ว่า จิตว่างไม่ได้ จิตต้องวุ่นหาเงิน นั้นคือพวกยังติดอยู่ในโลก หรือที่เรียกว่าโลกียชน
ในสมรภูมิสงครามโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น เป็นโลกุตรชน เป็นโลกียชน ถือว่าอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
หมอ พยาบาล ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ มีหน้าที่อะไร ก็ทำไป ส่วนประชาชนตอนนี้ ถ้านิ่งอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปเพ่นพ่านวุ่นวาย แพร่โรคให้คนอื่น ก็ถือว่าทำหน้าที่ชาวบ้านที่ดี.
กิเลน ประลองเชิง