วันนี้ผมขอนำเรื่องที่ส่งต่อกันในโซเชียลมีเดียมาเล่าสู่กันฟังนะครับ แม้จะเป็นเรื่องที่ระบุว่าเขียนมาตั้งแต่ 7 เมษายน 2016 ผู้เขียนชื่อ อาจารย์วิทยา ผมไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อจริงหรือเปล่า ขอไม่ลงนามสกุลนะครับ แต่เป็นข้อเขียนที่ยังทันสมัยในปัจจุบัน เพราะการศึกษาไทยยังล้มเหลวทุกด้าน แม้แต่ การเรียนออนไลน์ล่าสุด ก็ประสบความล้มเหลวอีกครั้ง เด็กในครอบครัวยากจน ไม่มีไอแพด ไม่มีโน้ตบุ๊ก ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีสมาร์ทโฟน ที่จะใช้เรียนออนไลน์ รัฐมนตรีและคนในกระทรวงศึกษาไม่รู้หรือ ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ กระทรวงศึกษาให้สร้างห้องคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนทั่วประเทศ แต่ปรากฏว่า โรงเรียนที่ติดตั้งห้องคอมพิวเตอร์ เป็นโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ กระทรวงศึกษาก็ยังทำมาแล้ว
ผมขออนุญาตนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อพ่อแม่ทุกคน
ผู้เขียนเล่าว่า 3 เมษายน 2559 เขาและภรรยาเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อส่งลูกสาวคนโตกลับไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เขามีลูกสาวสองคน คนโตเป็นคนไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเรียนในระบบประเทศไทยสักเท่าไร เพราะผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์เอาตัวรอดได้เท่านั้น ไม่เคยได้เกรด 4 ทุกวิชา ไม่ใช่นักเรียนชั้นแนวหน้าของห้องเรียน ผลการเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์แย่มาก ทุกครั้งที่สอบ พ่อแม่ต้องลุ้นระทึกเสมอ
เขาและภรรยาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เขาสังเกตว่า ลูกสาวคนโตเป็นคนช่างซัก ช่างถาม ช่างสงสัยตั้งแต่เด็ก เช่น ทำไมเราต้องเรียนเรื่องร้อยละ ทำไมเรียนแค่บวกลบคูณหารไม่ได้หรือ ทำไมต้องเรียนเลขยกกำลัง ทำไมต้องเรียนถอดสมการที่ยุ่งยาก ทำไมนิวตันต้องสร้างกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ยุ่งยากและจับต้องไม่ได้ แต่ทุกคำถามไม่เคยมีคำตอบที่ถูกใจเธอเลย เขารู้สึกลึกๆว่า ลูกสาวคนโตน่าจะเป็นเด็กเก่งอยู่เหมือนกัน แต่ในแนวที่ไม่ค่อยเหมือนเด็กเก่งในประเทศไทย และเชื่อว่าโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในเมืองไทยดูลูกเขาไม่ออก
...
หลังจบปริญญาตรีที่จุฬาฯ เขาเสนอเชิงขอร้องให้ลูกไปเรียนปริญญาโท ต่อที่ต่างประเทศ สาขาวิชาอะไรก็ได้ มหาวิทยาลัยอะไรก็ได้ โดยหวังเพียงให้ลูกได้ไปเรียนรู้วิธีคิดที่ดีกว่าบ้านเรา เธอตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่ Keio University ประเทศญี่ปุ่น ในสาขา Innovative Design เพราะถูกจริตมีวิชาให้คิดสิ่งใหม่ๆมากมาย
เกือบสองปีในญี่ปุ่นกับการเรียนในแบบที่ชอบ การมีโอกาสแสดงความคิดเห็น ไม่ต้องนั่งท่องจำหรือทำข้อสอบประเภทต้องเลือกข้อที่ถูกตามความเห็นของคนออกข้อสอบ ผลการเรียนดีกว่าในเมืองไทยชัดเจน การมองชีวิต สังคม และโลก ของเธอเปลี่ยนไปมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผลการเรียนของเธออยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.9-4.0 ทุกเทอม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ ที่อยากได้และได้แล้วก็คือ ลูกเขาเข้าใจแล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นมีความเจริญกว่าไทยทุกด้าน และสิ่งสำคัญที่ทำให้เป็นเช่นนั้นเพราะ “ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่เคยหยุดนิ่งทางความคิด” ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่เข้าใจเลยว่า “ความคิด” คืออะไร
เขาเคยคิดว่า ลูกสาวเขาเป็นข้าวพันธุ์ไม่ค่อยดี ปลูกขึ้นยาก แต่เมื่อเปลี่ยนให้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น จึงทำให้เขาได้รับรู้ว่า เขาเข้าใจผิดมาตลอด
“ลูกเป็นข้าวพันธุ์ดี แต่นาที่บ้านเมืองเราแห้งแล้งเกินไป เลยปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น และนี่คือความจำเป็นที่ลูกต้องมาเรียนไกลบ้าน ซึ่งมีนาดีกว่า เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้าวของพ่อเป็นข้าวพันธุ์ดี ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พ่อเคยฝังในความคิดและความจำมาตลอดเวลา ขอโทษนะลูก”
เป็นบทความที่กระแทกระบบการศึกษาไทยได้อย่างแสบสัน
การศึกษาที่ดีทั่วโลก เขาสอนให้คิด ไม่สอนให้ท่องจำ ไม่มีประเทศไหนให้เด็กเล็กเรียนออนไลน์ แม้แต่ ฟินแลนด์ ที่มีการศึกษาดีที่สุดในโลก เขาก็ให้เด็กเรียนในห้องเรียน และ ไม่มีข้อสอบกลาง พร้อม คำตอบโง่ๆ จากผู้ออกข้อสอบ ถ้ารัฐมนตรีศึกษาฉลาดจริงต้องเร่งแก้ไขการศึกษาไทยที่ล้มเหลวทันที ไม่ต้องรอให้เด็กไทยโง่ต่อไปไม่สิ้นสุด.
“ลม เปลี่ยนทิศ”