สุพริศร์ สุวรรณิก ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.

นับตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ประเด็นที่หลายคนมองในด้านดี คือ โควิด-19 ได้ทำให้ปัญหาวิกฤติโลกร้อนคลี่คลายลง สะท้อนจากคุณภาพสิ่งแวดล้อมและอากาศที่ดีขึ้นจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผู้เขียนยังจำภาพถ่ายดาวเทียมขององค์การนาซาในประเทศจีนได้ดี ซึ่งแสดงปริมาณมลภาวะที่ลดลงในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน แต่คำถามสำคัญคือ โควิด-19 ทำให้สถานการณ์วิกฤติโรคร้อนดีขึ้นแล้วจริงหรือไม่?

1.แม้คุณภาพอากาศจะดีขึ้นจริงในระยะสั้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก แต่โควิด–19 ไม่ได้ช่วยให้วิกฤติโลกร้อนดีขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาขยะของเสียและพลาสติกที่เพิ่มพูนขึ้น : เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย.63 ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้ออกมาชี้แจงว่า โควิด-19 ไม่ควรถูกมองว่า “เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม” โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ล้วนเป็นเรื่องชั่วคราว เพราะ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ ส่งผลให้ปริมาณขยะทางการแพทย์ ของเสียอันตราย และขยะพลาสติกที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่ส่งถึงบ้าน โดยเฉพาะแบบใช้ครั้งเดียวเพิ่มขึ้นมากมาย และหากมนุษย์ยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม วิกฤติโลกร้อนก็จะยังคงอยู่และรุนแรงขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

2.การแก้ไขปัญหาโลกร้อนอาจถูกลดความสำคัญลงในช่วงระยะการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติ และจะยิ่งซ้ำเติมให้วิกฤติโลกร้อนรุนแรงขึ้นอีก : หลังโควิด-19 การฟื้นฟูเศรษฐกิจจะเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้นๆของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และแม้ว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวสามารถทำได้ควบคู่ไปกับการรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิดคือ นโยบายของบางประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งได้ถอนตัวออกจากความตกลงปารีสว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปแล้วจะเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยทิศทางใด? ผู้เขียนคาดว่า ทรัมป์จะเดินหน้าฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตอย่างเต็มกำลัง โดยไม่ได้ให้ความใส่ใจกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซ้ำเติมด้วยรัฐบาลในหลายประเทศที่อาจให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดลดลงด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับลดลงมาก และราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำไม่สร้างแรงจูงใจที่ประเทศต่างๆจะหันไปใช้พลังงานสะอาดทดแทน ซึ่งมีราคาสูงกว่า

...

3.การเพิ่มขึ้นของปริมาณการสัญจรบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet traffic) และดิจิทัลดาต้า โดยเฉพาะในระบบคลาวด์ (Cloud) ที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงการกักตัว ได้เร่งให้วิกฤติโลกร้อนแย่ลงในระยะยาว โดยเฉพาะจากการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างท่วมท้น : การใช้อินเตอร์เน็ตและดิจิทัลดาต้าอย่างไม่ระมัดระวัง เช่น การชมภาพยนตร์หรือซีรีส์จากสตรีมมิงวิดีโอตลอดทั้งวัน นำมาซึ่งการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องอาศัยไฟฟ้ามหาศาล มักเป็นประเด็นที่หลายคนมองข้าม ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า เมื่อสังคมโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทุกคนควรตระหนักถึงเหรียญอีกด้านหนึ่งของอินเตอร์เน็ตและนวัตกรรมที่มาพร้อมกันด้วย...โดยสิ่งที่ผู้เขียนชวนคิดคือ “ทุกครั้งที่ใช้ เราควรใช้ด้วยความตระหนักรู้ถึงประโยชน์และโทษภัย และพึงใช้อย่างพอดี เท่าที่จำเป็น”

โดยสรุปแล้ว หากเราไม่ร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ โทษภัยของวิกฤติโลกร้อนจะมาหาเราทุกคนโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างแน่นอน เฉกเช่นเดียวกับวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ที่มาแบบเงียบเชียบ ยืดเยื้อ รุนแรง และสร้างผลกระทบต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่งครับ!

** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **