ใครคือผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คนที่ 9 ประเด็นคำถามที่ถูกตั้งขึ้นในแวดวงคณะสงฆ์ทันทีที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนที่ 8 ได้เกษียณอายุราชการ และเข้ากราบลากรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) อย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อครั้งการประชุมมหาเถรสมาคม วันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะหลังจากวันที่ พ.ต.ท.พงศ์พร เกษียณอายุราชการไปแล้ว ทุกอย่างเหมือนยังอยู่ในสภาวะเงียบงัน ที่ไม่พบแม้กระทั่งคำสั่งแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ
การทำงานของข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯในขณะนี้จึงไม่ต่างจากการอยู่ในภาวะสุญญากาศ เนื่องจากยังไม่มีผู้บังคับบัญชาในตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ คงเหลือไว้แต่รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ 3 คน คือ นายสมเกียรติ ธงศรี, นายณรงค์ ทรงอารมณ์ และนายจีรวิชญ์ นิยมธรรม ที่จะทำหน้าที่บริหารราชการในช่วงนี้ไปก่อน
...
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เคยให้สัมภาษณ์ก่อนที่ พ.ต.ท.พงศ์พรจะเกษียณอายุราชการ โดยระบุว่า จะพิจารณาตามความเหมาะสม และยังไม่มีใครในใจเป็นพิเศษ คิดว่าจะพิจารณาจากคนในสำนักงานพระพุทธศาสนาฯก่อน หากเลยกำหนดเวลาไปแล้วจะต้องมีการแต่งตั้งตำแหน่งรักษาการหรือไม่ รวมทั้งจะต้องดำเนินการอย่างไรนั้น ต้องดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
ประกอบกับคำกล่าวถึงเรื่องนี้ของ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีที่ว่า คงจะไม่ต่ออายุราชการให้ พ.ต.ท.พงศ์พร เนื่องจากมาตรา 108 ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ระบุว่า การต่ออายุราชการจะทำได้เฉพาะข้าราชการที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งบริหาร แต่ตำแหน่ง ผอ.พศ.เป็นตำแหน่งบริหารจึงไม่สามารถทำได้ ปัญหาขณะนี้คือ กระบวนการสรรหา ต้องถาม อ.ก.พ.ที่มีนายเทวัญเป็นประธาน เพราะต้องตั้งกรรมการสรรหา ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้ช้าได้
และจากคำให้สัมภาษณ์ของ 2 บุคคลสำคัญในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสานาฯโดยตรง “ทีมข่าวศาสนา” พอที่จะจับสัญญาณได้ว่า รัฐบาลยังคงไม่เร่งรีบที่จะสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนใหม่ แม้ว่าตำแหน่งนี้จะว่างมาแล้วกว่า 1 สัปดาห์เต็มก็ตาม
ซึ่งจากความเงียบอย่างผิดปกตินี้เอง ทำให้เกิดกระแสข่าวลือหนาหูขึ้นเรื่อยๆว่า ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนต่อไปอาจจะเป็นคนนอกก็เป็นได้
ขณะที่มีข่าวลืออีกกระแสระบุว่า อาจจะมีการหาทางให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ได้ต่ออายุราชการ เพื่อกลับมาเป็น ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯอีกสมัย แต่นั่นยังคงเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคงต้องเตรียมตอบคำถามคณะสงฆ์และสังคม ที่จะมีตามมาอย่างแน่นอน
ถึงวันนี้แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนถึงผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนที่ 9 ว่าจะเป็นคนใน หรือคนนอก แต่สิ่งที่ทางองค์กรทางพระพุทธศาสนาอยากเห็นคือ ผู้ที่จะมานั่งบนเก้าอี้สำคัญนี้ ควรเป็นบุคคลที่พร้อมทำงานกับคณะสงฆ์ โดยพระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) หรือ “เจ้าคุณประสาร” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนใหม่ ควรตระหนักในภาระหน้าที่ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรจะพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครองพระพุทธศาสนาได้อย่างสมดุล และจะช่วยพัฒนาส่งเสริมงานคณะสงฆ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร ส่วนคุณสมบัติส่วนตัวนั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นชาวพุทธ และเป็นบุคคลที่มีเกียรติ ประวัติผลงานที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ต้องเป็นคนที่มีสัมมาทิฐิ พร้อมทำงานกับคณะสงฆ์และเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนใหม่ควรตระหนักและศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจในภาระและอำนาจหน้าที่ของตนเองและของหน่วยงานให้ชัดเจน ทั้งในระดับจังหวัดและส่วนกลาง ต้องเป็นองค์ประกอบและองคาพยพที่สำคัญในการขับเคลื่อนงานคณะสงฆ์ ขอให้ศึกษาบทเรียนในอดีตของ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯหลายๆคนที่ผ่านมาแล้วประมวลเป็นองค์ความรู้และกำหนดก้าวย่างให้ดี อะไรคือความเสียหาย อะไรคือความขัดแย้ง ต้องเรียนรู้ จดจำ และอย่าไปเดินซ้ำรอย ควรจะตระหนักให้มาก” พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวย้ำถึงคุณสมบัติ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนใหม่ที่ทางคณะสงฆ์อยากเห็น
“ทีมข่าวศาสนา” มองว่า ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯคนใหม่จะมาจากคนในสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ หรือคนนอก ไม่น่าจะเป็นสาระสำคัญ เพียงแต่ขอให้รัฐบาลพิจารณาเลือกคนที่มีความเหมาะสม มีความเข้าใจงานของคณะสงฆ์ และพร้อมทำงานสนองงานคณะสงฆ์ตามภารกิจของสำนักงานพระพุทธศาสนาฯอย่างถ่องแท้และจริงใจ
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นได้ เรามั่นใจว่าคณะสงฆ์ก็พร้อมที่จะอนุโมทนา
เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลเองก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วกับการแต่งตั้ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ได้
และสิ่งที่เราอดเป็นห่วงไม่ได้คือ หากรัฐบาลทำให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก
จากเสียงอนุโมทนาของคณะสงฆ์อาจจะกลับกลายเป็นการ “คว่ำบาตร” ขึ้นมาในทันที.
ทีมข่าวศาสนา