“หมึกกรอบ” อาหารจากภูมิปัญญาของชาวจีน ที่นำเข้ามาในประเทศไทยสมัยก่อน โดยใช้ “ขี้เถ้า” มาช่วยแปลงร่างหมึกแห้งให้กลายเป็นหมึกกรอบ ด้วยวิธีนำขี้เถ้า 1 ส่วน มาละลายในน้ำ 3 ส่วน หลังขี้เถ้าตกตะกอนจึงนำปลาหมึกแห้งมาแช่ทิ้งไว้ 1 คืน รุ่งเช้า จากหมึกแห้งจะกลายร่างเป็นหมึกกรอบตัวใหญ่ กรุบกรอบ ดูน่าทาน

สมัยนี้การผลิตหมึกกรอบปริมาณมากๆ ถ้าจะต้องมานั่งหาขี้เถ้ามาละลายน้ำ เห็นทีจะไม่ทันกิน

ผู้ผลิตจึงนำ “เบกกิ้งโซดา” (โซเดียมไบคาร์บอเนต) มาละลายน้ำแทนการใช้ขี้เถ้า มาผลิตหมึกกรอบ ซึ่งสารชนิดนี้นำมาใช้หรือผสมลงในอาหารได้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ทว่าผู้ผลิตบางรายอาจกลัวว่าหมึกกรอบของตนจะไม่กรุบกรอบและเก็บได้นานอย่าง

ที่ต้องการ จึงแอบใส่ “สารบอแรกซ์” เพื่อเพิ่มความกรุบกรอบ ช่วยให้หมึกคงรูปและไม่เสียง่าย

สำหรับการใช้บอแรกซ์ ตามข้อกฎหมายกำหนดว่าห้ามใช้ผสมลงในอาหาร เพราะเป็นสารอันตราย เพราะหากผู้บริโภคได้รับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากๆ นอกจากจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิด ผิวหนังอักเสบ ผมร่วง หากได้รับเข้าสู่ร่างกายปริมาณน้อยๆแต่บ่อยครั้งติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวหนังแห้ง หน้าตาบวม เยื่อตาอักเสบ ตับไตอักเสบ

เพื่อความสบายใจ สถาบันอาหาร จึงได้สุ่มตัวอย่างปลาหมึกกรอบ จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 4 แผงลอยและ 1 ร้านค้าในตลาดสดเขตกรุงเทพฯ นำมาวิเคราะห์สารบอแรกซ์ปนเปื้อน ซึ่งผลปรากฏเป็นที่น่าพอใจเพราะปลาหมึกกรอบทุกตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนสารดังกล่าว ฉะนั้น สาวกหมึกกรอบหม่ำได้อย่างสบายใจ.

...

ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัย