เหยื่อคดี "แพรวา" รับสู้มา 9 ปี อยากให้เรื่องจบสักที บอกเงินแค่นี้ แลกกับชีวิตคน ไม่มีใครเอาหรอก ขออย่าประวิงเวลาอีกเลย 

จากกรณีอุบัติเหตุสุดสะเทือนขวัญเมื่อปี 2553 ที่ นางสาวแพรวา ขับรถยนต์ชนรถตู้โดยสาร บริเวณบนทางด่วนโทลล์เวย์ขาเข้า หน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ ซึ่งญาติของผู้เสียชีวิตได้รวมตัวกันมาออกรายการ "ถามตรงๆ กับจอมขวัญ" โดยครอบครัวผู้เสียหายยังไม่ได้รับการเยียวยาทางจิตใจ และการชดเชย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้ (16 ก.ค.) ในรายการ "ถามตรงๆ กับจอมขวัญ" ญาติของผู้เสียชีวิตอีก 3 คน พร้อมผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในวันนั้น มาเปิดใจในรายการอีกครั้ง

นางสุชาดา ปาละกูล แม่น้องตรอง หนึ่งในผู้เสียชีวิต เผยว่า ทุกครั้งที่ไปขึ้นศาล เจ็บที่สุดทุกครั้ง เพราะการสืบพยานจะมีการบรรยายว่าลูกเราเสียชีวิตจากอะไร เจ็บตรงไหนบ้าง ซึ่งหลังจากที่เสียลูกไป พ่อเขาก็เสียใจ เพราะพวกเราผูกพันกันมาก วันเกิดเหตุก็ยังนัดไปรับกันที่สถานีรถไฟฟ้า แต่ไม่เจอกัน และติดต่อลูกไม่ได้ โทรเป็นร้อยครั้งก็ไม่ติด จากนั้นเราก็ไปตามหาตาม รพ. แต่ไม่เจอ ก่อนจะกลับไปตั้งหลักที่บ้าน

...

ต่อมาญาติซึ่งทราบข่าวทางโทรทัศน์ก็โทรมาบอกเรา ว่าเกิดเหตุการณ์และมีรายชื่อลูกอยู่ ซึ่งหลังทราบข่าว พ่อเค้าค่อนข้างจะเสียใจ เสียสติไปเลย ก่อนจะกลายเป็นคนนิ่ง ซึมเศร้า เวลาอยู่บ้านกัน ก็จะต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง จนวันหนึ่ง กลางคืน พ่อเรียกชื่อแม่ 2 ครั้ง ก่อนหลับไปเลย ซึ่งพ่อไม่มีโรคประจำตัวอะไร ก่อนพบว่าหัวใจล้มเหลว เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่งเราเชื่อว่า เป็นผลมาจากการที่สูญเสียน้องตรอง 

ขณะที่ผ่านมา 9 ปี แม่ก็อยู่ไปวันๆ เพราะตนยังไม่เป็นอะไร ก็ต้องอยู่ต่อไป ซึ่งถ้าคิดถึงน้อง ก็จะไปหยิบอัลบั้มตอนรับปริญญามาดู เพราะตอนนั้นครอบครัวเรามีความสุขมาก ดูรูปก็จะร้องไห้ เพราะคิดถึง แต่ตนยังดีที่มีเพื่อน และเพื่อนลูก ที่ยังโทรคุยกับเราทุกวัน มาเล่าอะไรให้เราฟังแทบทุกวัน

ด้าน นางโทโมโกะ นันโด ภรรยาคุณภิญโญ เผยว่า หลายปีที่ทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ เพราะเราอยู่ด้วยกันตลอด แต่วันนี้ต้องอยู่คนเดียว เหมือนเราไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี หลังจากเกิดเหตุการณ์ รู้สึกอยากอยู่คนเดียว คุยกับใครไม่ได้

วันเกิดเหตุ เราโทรคุยกับเค้าตอน 2 ทุ่ม ก่อนเค้าเลิกงาน จากนั้นก็ติดต่อไม่ได้ เราก็คิดว่า เค้าคงไปทานข้าวกับเพื่อน กระทั่งเพื่อนเค้าโทรมาบอกตอนเข้านอน ถามว่า แฟนเราสบายดีอยู่ไหม เราก็แปลกใจ ก่อนจะบอกว่า เค้าเห็นข่าว มีชื่อของแฟนเรา สักพักน้องชายก็โทรมาให้ไปที่สถานีตำรวจ 

ระหว่างการพิจารณาคดีตนไปศาลทุกนัด เห็นเค้ามาไม่กี่ครั้ง แต่เค้าก็ไม่เคยเข้ามาทักทาย หรือสบตาเรา ซึ่งเราเชื่อว่า หากเค้ามีความจริงใจที่อยากคุยกับเราเค้าคงเข้ามาหาเราแล้ว

ด้าน นางสิตาพัชญ์ พงศ์รัตน์ถาวร ภรรยาของ คุณอุกฤษ์ ผู้เสียชีวิต เผยว่า วันเกิดเหตุ ตนรู้ข่าวตอนกลางคืน จากนั้นก็ไปที่สถานีตำรวจ เพื่อไปดูว่าต้องทำอะไรบ้าง และเตรียมเรื่องการรับศพ โดยให้พี่ชายไปดูพ่อแม่ที่บ้าน 

หลังเกิดเรื่อง ตนลาออกจากงาน ไปอยู่ต่างจังหวัด เพื่อดูแลลูก และพ่อแม่ของสามีด้วย ตอนเกิดเรื่อง เค้าอายุแค่ 3 ขวบ ก็ยังไม่รู้อะไรมาก ตนก็เลี้ยงเค้าไม่ให้รู้สึกขาดแม้ว่าเค้าจะไม่มีพ่อ พอโตขึ้นก็ค่อยๆ อธิบายว่าพ่อไม่อยู่แล้ว แต่พ่อแม่ของสามีกระทบกับเค้าเยอะ เพราะเค้าเคยกลับบ้านทุกสัปดาห์ แม่พูดเสมอว่า คิดซะว่าเค้าไปเรียนต่อ

ขณะที่ นายวรัญญู เกตุชู เปิดเผยว่า เมื่อวานตนนั่งดูรายการอยู่ ตอนแรกจะพยายามไม่เอาตัวเองลงมาอยู่กับเรื่องนี้แล้ว เพราะทุกครั้งที่พูดถึง มันเหมือนประสบเหตุอีกครั้ง จากนั้นเพื่อนก็ส่งแฮชแท็กในทวีตมาให้ ทำให้คิดได้ว่ามันไม่แฟร์กับคนที่ประสบเหตุจริงๆ ซึ่งตนไม่ได้เล่นทวิตฯนานแล้ว ก่อนจะโพสต์เรื่องราวลงไป และก็ไปเจอรูปตัวเอง นั่งพิงโทลล์เวย์อยู่ จึงเข้าไปวง และบอกว่านี่เป็นตัวเอง

วันนั้น ตอนเกิดเหตุ ตนจำได้แค่ว่า รู้สึกตัวตอนอยู่ในรถตู้ ไม่ได้กระเด็นออกมา พอได้สติ ก็เดินลงจากรถมานั่งพิงโทลล์เวย์ มันสะลึมสะลือ ไม่ได้รู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าสภาพตัวเองแย่แค่ไหน รู้แต่ว่า พรุ่งนี้เรามีสอบ

กระทั่งเห็นเข่าตัวเอง กระดูกเข่าโผล่ แผลตามตัวแดงไปหมด ไปถึง รพ. หมอถามเจ็บไหม เราก็ยังบอกว่า ไม่เจ็บ เรายังหันไปเห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่บนรถเข็น เรายังพูดกับเพื่อนเลยว่า โชคดีจังเค้าไม่เป็นอะไร ซึ่งเราไม่รู้ว่า เค้าเป็นคู่กรณี จากนั้นหมอก็เข้ามาบอกว่า ตนต้องผ่าตัด และถามตนว่าไหวหรือเปล่า ซึ่งตนก็ตอบว่าไหว เพราะวันนั้นมีคนที่อาการหนักกว่าตน

"การต่อสู้คดี 9 ปี มีการเจ็บปวดระหว่างทาง คุณเสนอเงินแค่นี้ แลกกับชีวิตคนไม่มีใครเอาหรอก" นายวรัญญู กล่าว

นางสิตาพัชญ์ เผยต่อว่า พฤติการณ์ที่ฝั่งจำเลยที่กระทำต่อพวกเรา พูดเปรยๆ ผ่านไปผ่านมา และทนายเค้าก็บอกว่า จะไกล่เกลี่ยก็ติดต่อมา และว่าสู้ไป อาจจะไม่ได้อะไรนะ ยิ่งกว่านั้น คดีถึงที่สุดแล้ว ยังไม่ได้รับการติดต่อมาเลย

ขณะที่ แม่ของน้องตรอง เผยว่า ยิ่งยื้อ พวกเราก็ยิ่งเจ็บ เราไม่ได้อยากได้เงินนะ แต่เราอยากจบ อยากบอกลูกได้ว่า แม่ก็สู้ให้ลูกแล้วนะ 

ด้าน นางโทโมโกะ เผยว่า สิ่งที่ทำให้ตนรู้สึกว่ายอมไม่ได้คือ ทนายพูดเสมอว่า คนขับรถตู้ผิดตลอดเวลา ทั้งๆ ที่พยาน หลักฐาน พิสูจน์ได้ว่าคนขับรถตู้ไม่ผิด คนขับรถเก๋งผิด

นายวรัญญู กล่าวทิ้งท้ายว่า 9 ปีที่ผ่านมา พวกเราเหนื่อยและท้อ เหยื่อเองกลายเป็นถอดใจ คำมั่นสัญญาที่เค้าเขียนว่า เมื่อคดีสิ้นสุดเค้าจะจ่าย ผ่านมา 9 ปี พูดแล้วยังเจ็บ อยากบอกว่า ไม่อยากให้ประวิงเวลา ตอนนี้เราไม่ได้โกรธนะ แต่เราอยากให้มันจบได้แล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง