จากกรณีอุบัติเหตุสุดสะเทือนขวัญเมื่อปี 2553 ที่ นางสาวแพรวา ขับรถยนต์ชนรถตู้โดยสาร บริเวณบนทางด่วนโทลล์เวย์ขาเข้า หน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ ล่าสุด ญาติของผู้เสียชีวิตได้รวมตัวกันมาออกรายการ "ถามตรงๆ กับจอมขวัญ" โดยครอบครัวผู้เสียหายยังไม่ได้รับการเยียวยาทางจิตใจ และการชดเชย

ทั้งนี้ ผู้อ่านสามารถติดตามเรื่องราวของญาติผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมได้ที่ รายการรถปลดทุกข์ และล่าสุดผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่ออีกฝ่ายเพื่อขอข้อมูล หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป 

โดย "ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" ได้ถอดบทสนทนาบางส่วนจากรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ดังนี้ 

นายศรัล นิลวรรณ พ่อของนางสาวสุดาวดี หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 62 ที่ผ่านมา ชั้นฎีกาของศาลแพ่งได้อ่านคำพิพกาษา ให้ฝ่ายจำเลยทั้ง 4 คน คือ จำเลยที่ 1 คือคนที่ชน ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 คือ บิดามารดาของคนที่ชน ส่วนจำเลยที่ 4 คือ คนที่ให้ยืมรถไปขับ

...

โดยศาลอ่านคำพิพกาษา ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าเสียหายไร้อุปการะ บุคคลที่เลี้ยงดู บุคคลที่มีชีวิตอยู่ ศาลฎีกาได้แก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไปยืนยันให้ฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเหมือนที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษามาแล้ว ให้ชดใช้ผู้เสียหายทุกคน และคดีถึงที่สุดแล้ว

ทั้งนี้ ในวันพิพากษาฝ่ายจำเลย แม้แต่ทนายความก็ไม่มาฟังคำพิพากษา ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ หรือผู้เสียหาย และทีมทนายโจทก์ที่มหา'ลัยธรรมศาสตร์ได้ช่วยเหลือนั้น ได้ส่งหรือให้ทางศาลไปปิดหมายได้ทราบคำพิพากษา จากนั้น 30 วันจะต้องนำเงินค่าเสียหายมาชำระ หรือมาวางต่อกับศาล แต่ถ้าปิดหมายก็ใช้แค่ 15 วัน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.มาถึงวันนี้ก็เลยเวลามานานแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่เคยได้รับข่าวสารจากฝ่ายจำเลย ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็ต้องเข้าสู่การบังคับคดี

อย่างไรก็ตาม ตนอ่านคำพิพากษาทุกชิ้น โดยในชั้นอุทรณ์ ตนเห็น มีเอกสารชิ้นหนึ่ง คำขอทุเลาการบังคับคดีเมื่อศาลแพ่งพิพากษาแล้ว ก็คือ ฝ่ายจำเลยอ้างว่า คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะฉะนั้นจำเลยยังไม่ขอชำระค่าเสียหายศาลแพ่ง และขอยังไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาลแทนโจทก์ เพราะอ้างว่าคดียังไม่สิ้นสุด จำเลยจะยังอุทธรณ์ต่อไปโดยอ้างว่าคดีถึงที่สุดจำเลยนั้น เป็นบุคคลที่อยู่ในตระกูลมีชื่อเสียง มีฐานะการเงินมั่นคง ถ้าคำพิพากษาถึงที่สุดจำเลยสามารถชำระได้ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย อันนี้คือคำที่จำเลยกล่าวไว้ในเอกสาร

"เราก็ต่อสู้ทางช่องทางกฎหมาย จำเลยก็เช่นกัน เขาก็บอกว่าถ้าคดีถึงที่สุดเขาก็จะชำระหนี้ได้ เราก็มีความหวังว่า เขาพูดแบบนี้เราก็เชื่อ เพราะเขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม เป็นคนมีฐานะทางการเงิน จนถึงบัดนี้มันเลยกำหนดที่ศาลกำหนดไว้ ตั้งแต่เกิดเหตุธันวาปี 53 ผมไม่เคยได้รับโทรศัพท์หรือคำทักทาย คำพูดจากฝ่ายผู้ชนเลย"

นางชุติมา นิลวรรณ แม่ของนางสาวสุดาวดี กล่าวย้ำว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.2553 เราไม่เคยได้รับการติดต่อจากคู่กรณีเลย แม้กระทั่งเจอกันที่ศาล รอยยิ้ม หรือแววตาที่เป็นมิตร หรือคำทักทาย ไม่เคยเลย แม้กับญาติคนไหนก็ตาม

ทางด้าน แม่หนิง ถวิล เช้าเที่ยง แม่ของ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด นักวิจัยไบโอเทค แห่ง สวทช. กล่าวว่า แม่ของผู้ก่อเหตุเข้ามางานศพลูกฉัน มันใกล้มั้งเขาเลยมา เขาเอากล้องมาด้วย เอานักข่าวมาด้วย เขาก็ไปขออนุญาตกับนายกฯ ว่าจะเข้ามา เขากลัวพวกฉันจะทำอะไรเขา ไม่ต้องขอหรอกเข้ามาเลย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยติดต่อมาเลย

"ทนายเขาพูดเปรยๆ ไม่บอกชื่อ ประเภทว่า อยากได้เงินเหรอ ก็สู้กันให้นานไปเลย ส่วนใหญ่ทนายเป็นคนพูด ส่วนจำเลยเขาไปฟังศาลตัดสินแค่หนเดียว เขาใส่แว่นตาดำ และนั่งไขว่ห้าง จนผู้พิพากษาบอก เอาแว่นตาดำออก และอย่านั่งไขว่ห้าง"

ทั้งนี้ ก่อนศาลจะตัดสินในคดีอาญา เขาก็ให้ไกล่เกลี่ยก่อน ซึ่งตอนนั้นก็ผ่านไป 2 ปีแล้ว เขาขอขมาเอาพวงมาลัยมาไหว้ฉัน ทีนี้ฉันก็ถามว่ามาไหว้ทำไมมันผ่านมา 2 ปีแล้วไม่เกิดประโยชน์ พ่อเขามองฉันเหมือนจะกินฉันเลย

"ฉันแย่ยิ่งกว่าเก่า ตอนนี้อายุเยอะแล้ว เราอยากได้ลูก เราไม่อยากได้เงิน เขาประเภทยื้อเยอะๆ แบบนี้เอาลูกมาคืนฉันได้ไหมล่ะ ฉันจะไม่ยื้อด้วยเลย ฉันอายุเยอะ ตอนนี้ลูกฉันก็ไม่มี ตอนลูกฉันกลับมาจากนอกปีแรก เขาวางโครงการให้ฉันเลิกขายดอกไม้ ฉันบอกยังทำไหว แต่ตอนนี้ฉันอายุ 70 แล้ว ยังต้องไปร้อยมะลิ ฉันลำบากกว่าเก่านะ เราจะลืมลูกเราได้ไหมล่ะ"

 อ่านเรื่องราวแม่หนิงเพิ่มเติม 

ทางด้าน นางทองพูล พานทอง แม่ของนางสาวนฤมล คนขับรถตู้ หนึ่งในผู้เสียชีวิต กล่าวว่า เขาไม่เคยติดต่อมาเลย มีผู้เสียชีวิตอีกคน พ่อของน้องจันจิรา ที่น้องเสียชีวิตทีหลัง ซึ่งพ่อของน้องเล่าให้ฟังว่า ทางโน้นให้คนมาติดต่อขอเลขบัญชีเพื่อที่จะโอนเงินมาช่วย พ่อเขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขากำลังยุ่งกับงานศพ ลูกเขาเสียชีวิตทีหลัง เป็นคนที่ 9 เขากำลังอยู่ในระหว่างความโศกเศร้า ให้เขาไปรับเงิน 1-2 หมื่นแบบนี้ เขาไม่มีเวลาตรงนั้นหรอก เขาต้องทำศพลูกของเขาก่อน

ทั้งนี้ สุขภาพกายแม่สู้ได้ แต่สุขภาพใจมันเจ็บลึกๆ เพราะอะไร เพราะแม่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่แม่ก็ไปฟังที่ศาล ก็รับรู้หลายๆ สิ่งที่เขาแสดงออกกับเรา คือ มันเจ็บ เราจะได้ยินการสืบพยาน มันละเอียดมาก มันสะท้อนใจคนที่มาเป็นพยานให้เรา อย่างกองพิสูจน์หลักฐาน ฉันไม่เคยลืม เขาเมตตาเรามาเป็นพยานให้เรา แต่คนที่เขาทำผิด จิตใต้สำนึกเขาทำไมไม่มี พบกันแต่เขาก็ไม่พูดกับเราเป็นมิตร เขาพูดเปรยตลอด ตีวัวกระทบคราด อยากได้เงินต้องออกแรงหน่อย 

"ฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ลูกฉันทำให้ทุกคนสูญเสีย แม่พูดมาตลอดว่า ถ้าแม่ตายแทนได้ แม่ก็จะตายแทนทุกคนค่ะ แม่พูดมาตลอดค่ะ เพราะลูกเขาดีทุกคน"

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในโลกโซเชียลมีการติด #แพรวา9ศพ และพูดถึงคดีนี้เป็นวงกว้าง รวมถึงมีผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวได้มาเล่าถึงวันที่เกิดอุบัติเหตุอีกด้วย ขณะที่มีข้อความในยูทูบที่อ้างว่า เป็นคนรู้จักของครอบครัวผู้เสียชีวิตระบุว่า 

"คุณจอมขวัญช่างกล้ามากที่มาขุดเรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าแตะ เพื่อนเราเสียลูกสาวในเหตุการณ์นี้ต่อมาเสียสามีเพราะตรอมใจตายตามลูก คำขอโทษสักคำไม่เคยได้ยินจากปากเลย..ปัจจุบันเพื่อนเราอยู่คนเดียวในโลกกว้าง"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง