ชาวทับสะแก เผยเด็กที่ถูก "ซีอุย" ทำร้าย ปัจจุบันอายุกว่า 70 ปี และยังใช้ชีวิตปกติ ชี้ภาพลักษณ์ที่น่ากลัวมาจากหนัง-ละคร ไม่ชัดก่อเหตุฆาตกรรมในพื้นที่อื่นจริงหรือไม่ ...
กรณีกระแสสังคมให้นำร่างของ นาย ซีอุย แซ่อึ้ง หรือที่เรียกมนุษย์กินคน ออกจากพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช
นายทองพัน ชูรส อายุ 81 ปี ข้าราชการบำนาญ อดีตหัวหน้าการประถมศึกษา อ.ทับสะแก เปิดเผยว่า เหตุการณ์ซีอุยทำร้ายเด็ก เกิดขึ้นในอำเภอทับสะแก ตอนที่ตนอายุ 8-9 ขวบ ซึ่งยังจำเหตุการณ์ได้ดี เพราะบุคลิกของนายซีอุย มีลักษณะน่ากลัวสำหรับเด็ก คือ เป็นคนจีนรูปร่างบาง ผิวดำแดง เดินหลังโก่ง เด็กๆ เมื่อเห็นก็หวาดกลัว ทำงานเป็นคนงานในสวนผัก มาอยู่ที่อำเภอทับสะแกได้ประมาณ 2 ปี ซึ่งอยู่หลังโรงเรียนบ้านทับสะแก และใกล้กับสถานีตำรวจทับสะแก
ส่วนเด็กหญิงคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกมีดบาดที่ลำคอ อายุน้อยกว่าตนเอง รับบาดเจ็บที่คอ มีเพียงรายเดียวในอำเภอทับสะแก และไม่มีเหตุการณ์อื่นอีก ปัจจุบันเด็กหญิงคนดังกล่าวอายุ 70 ปีเศษ ใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ
ส่วนภาพลักษณ์ที่สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะเด็กในยุคหลัง คือ การสร้างภาพจากหนังและละคร ซึ่งเกินเลยจากข้อเท็จจริง ส่วนจะเกิดเหตุการณ์จับเด็ก หรือฆาตกรรมในพื้นที่อื่นนั้น ตนไม่ทราบ
เมื่อสำรวจดูพฤติกรรมและบุคลิกของซีอุยแล้ว ตนเชื่อว่า มีความผิดปกติจากคนทั่วไป ด้วยบุคลิกการเดิน การพูดจา และการแสดงออก หากเป็นปัจจุบันคงได้รับการบำบัดในโรงพยาบาลแล้ว แต่อาการผิดปกติดังกล่าว ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป จากการวิเคราะห์ อาจเป็นไปได้อีกอย่างคือ การอยากเล่นกับเด็ก โดยการจับเด็กเล็กๆ อุ้ม แต่ด้วยความกลัวของเด็ก จึงดิ้น อาจถูกมีดในมือของซีอุยบาดก็เป็นได้ หรือ ซีอุย ตั้งใจจับเด็กเชือดจริง เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
...
ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม แหล่งข่าวสูงอายุในอำเภอทับสะแก เผยว่า ในพื้นที่อำเภอทับสะแกไม่มีการฆาตกรรมจริง และการกินตับ เป็นเพียงเรื่องเล่าลือ
ส่วนเด็กหญิงคนที่ถูกมีดบาดคอของซีอุยนั้น ไม่ได้ถูกซีอุยจับ และไม่ได้ถูกมีดเชือดคอ แต่เป็นการถูกกัดด้วยปากของชายผู้ก่อเหตุ แต่เด็กคนดังกล่าว รอดมาได้ด้วยการแกล้งตาย
ส่วนการฆาตกรรมในพื้นที่อื่นๆ นั้น เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ซึ่งไม่ปักใจเชื่อ ว่าตัวซีอุยนั้น บริสุทธิ์หรือผิดจริง ประกอบกับการทำคดีในสมัยนั้น อาจขาดหลักฐานที่ชัดเจน ทำให้สำนวนไม่รัดกุม ซึ่งซีอุย อาจจะทำผิดจริงก็เป็นไปได้ แต่การที่หลักฐานไม่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยของผู้คนในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การนำร่างของซีอุย ออกมาทำพิธีทางศาสนาถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นร่างกายคนตายที่อยู่มา 60 กว่าปี ไม่ใช่รูปปั้น หรืออนุสาวรีย์ ที่ให้คนจดจำในฐานะความดี ควรส่งดวงวิญญาณไปยังที่สงบสุข หากจะเอาคนผิดมาประจาน ทำไมไม่นำฆาตกรฆ่า ข่มขืน ที่มีหลักฐานชัดเจน มาสตัฟฟ์ ไว้บ้าง.