“สามัคคีสัมพันธ์ สานฝันห้องเรียนกีฬา”

โครงการที่กระทรวงศึกษาธิการได้นำหลักสูตรโครงการ “สานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้” และโครงการ “ห้องเรียนกีฬา” มาจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อทำให้เยาวชนรู้รักสามัคคีเป็นหลักการทรงงาน...หลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ได้มีการสอนเป็นวิชาพิเศษ

พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บอกว่า นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะมาจากทั่วทุกภาคของประเทศไทย ดังนั้น การสอนที่จะให้รักกัน มีความรักความสามัคคี มีความรู้ทางวิชาการ ได้เล่นกีฬา แล้วก็จะต้องมาแสดงความสามารถคุณลักษณะเด่นๆตามประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทยในภูมิภาคต่างๆ ที่เราเรียกว่า “พหุวัฒนธรรม”

โดยการจัดแสดงตามประเพณี แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม ปลูกฝังความคิดในเรื่องของการทำงานให้กับสังคมวันนี้และวันหน้า

โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ของรัฐบาล โดยเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการให้เด็กนักเรียนได้นำกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยเริ่มต้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นลำดับความเร่งด่วน

มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณาหลักสูตรโปรแกรม “วิทย์กีฬา” ที่ได้เริ่มต้นในปีการศึกษา 2558 ที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.ยะลา ต่อมาหลังจากได้เปิดโปรแกรมดังกล่าวไปแล้วหนึ่งเทอม แล้วก็คิดต่อไปว่า...สายศิลป์จะทำอย่างไร

จึงพิจารณาพัฒนาโปรแกรมเพิ่มเติมคือ “ศิลป์กีฬา” เริ่มที่โรงเรียนรือเสาะชนูปถัมภ์ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส...หลังจากดำเนินโปรแกรมหลักสูตรไปแล้ว 1 ปี สำรวจความพึงพอใจ ประเมินผลจากความสุขของผู้ปกครอง ประชาชน เนื่องจากนักเรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากมีความรู้เพิ่มขึ้น มีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง ดูได้จากหลังเลิกเรียนเมื่อเด็กกลับไปบ้านจะรีบช่วยผู้ปกครองทำงาน แสดงถึงการอบรมมาดีของโรงเรียนประจำ รัฐบาลก็ให้ทุนการศึกษา ได้เล่นกีฬา เมื่อเรียนจบ ม.4, ม.5, ม.6 แล้วก็มีทุนให้เรียนต่อ

...

ผมได้ตั้งคำขวัญไว้ คือ “จุดประกายความฝัน มุ่งมั่นสู่อนาคต ปรากฏสู่ความสำเร็จ” เด็กทุกคนจะเข้าใจเรื่องนี้

ในส่วนของโครงการห้องเรียนกีฬา พลเอกสุรเชษฐ์ เล่าว่า เมื่อโครงการนี้ดำเนินการไปได้ระยะหนึ่ง ได้นำผลการดำเนินงานไปรายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อพิจารณาแล้วนายกฯได้บอกให้ขยายโครงการจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปยังภูมิภาคต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสให้เยาวชนทั้งประเทศ

ทำให้เกิดโครงการที่สองคือ “โครงการห้องเรียนกีฬา” ที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มขึ้นจากการคัดเยาวชนที่มีมาตรฐานทางวิชาการ มีรูปร่างร่างกายที่แข็งแรง โดยเฉพาะความสูง ซึ่งได้ใช้หลักสูตรโปรแกรมเช่นเดียวกับโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ คือ วิทย์กีฬา...ศิลป์กีฬา

แต่จะเน้นกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นหลักก่อน...ถึงวันนี้ได้ดำเนินการเป็นปีที่สองแล้วได้เปิดโรงเรียนโปรแกรมห้องเรียนกีฬา จังหวัดมหาสารคาม สุโขทัย สมุทรสาคร และกระบี่ ซึ่งการดำเนินการได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี จึงได้พิจารณาแผนขยายโครงการเพิ่มขึ้นอีก 4 โรงเรียน ในจังหวัดชัยภูมิ เพชรบูรณ์ อุดรธานี ชุมพร และได้เพิ่มกีฬาบาสเกตบอลเข้าไปในโครงการด้วย

“โครงการห้องเรียนกีฬาได้ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตภูมิภาคต่างๆได้ทำข้อตกลงร่วมกัน โดยกระทรวงฯมีความพร้อมทั้งเรื่องบุคลากร อุปกรณ์ ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ก็จะเน้นเรื่องโภชนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหลัก นักเรียนจะได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา ซึ่งทั้งหมดเป็นลักษณะเด่นที่ทำให้เกิดการพัฒนาแล้วไปแข่งขันในระดับสากลจะไม่เสียเปรียบเรื่องรูปร่าง”

...มีสโลแกนว่า “เส้นทางสู่ฝัน สรรค์สร้างแรงบันดาลใจ นักกีฬาไทยสู่สากล”

ยกตัวอย่างนักเรียนในโครงการ นายเวทิต สืบเหม อายุ 17 ปี ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนละงูพิทยาคม มีผลการเรียนเฉลี่ยเทอมนี้ 3.60 สำหรับผลงานด้านกีฬาในรอบ 1 ปีนี้ ได้แก่ เยาวชนแห่งชาติ, โค้กคัพ, ไทยแลนด์ยูธลีก u 17 และสานฝันที่กระบี่ ซึ่งน้องมีความมุ่งหวังและตั้งใจในอนาคตว่า...อยากติดสโมสรเริ่มจากสโมสรเล็กๆ ไปหาสโมสรใหญ่ๆ อยากเป็นนักกีฬากองทัพ อยากรับราชการ เพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงตัวเอง และเพื่อที่จะดูแลพ่อแม่ในภายภาคหน้า และที่สำคัญ...อยากรับใช้ทีมชาติไทยสักครั้งในชีวิต

สำหรับกิจกรรมโครงการ “สามัคคีสัมพันธ์ สานฝันห้องเรียนกีฬา” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา เริ่มต้นด้วยการแข่งขันในรอบคัดเลือกในวันที่ 5 ตุลาคม ณ สนามฟุตบอลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราฯ จ.สมุทรสาคร และพิธีเปิดโครงการฯอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ตุลาคม ณ โรงแรมชลพฤกษ์ รีสอร์ท จ.นครนายก โดยมี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน

นอกจากกิจกรรมด้านกีฬาเพื่อสานสัมพันธ์ให้กับนักเรียนทั้งสองโครงการแล้ว ในวันที่ 7 ตุลาคม ยังได้มีการจัดกิจกรรมเรียนรู้ดูงานนอกสถานที่ รวมทั้งฐานกิจกรรมผจญภัยต่างๆ เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้นักเรียนในแต่ละภูมิภาคให้ได้รู้จักกันมากขึ้น ซึ่งนักเรียนทั้งสองโครงการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก และยังได้รับประสบการณ์ใหม่กลับไปอีกมากมาย

ในวันที่ 8 ตุลาคมเป็นไฮไลต์สำคัญ เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า นักเรียนทั้งสองโครงการได้เข้าสู่ฐานกิจกรรม “ศาสตร์พระราชา” กิจกรรมที่มีความสำคัญ ที่จะได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาเรียนรู้แนวทางพระราชทานให้นักเรียนได้เข้าใจหลักการทรงงาน เพื่อนำมาเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต

ได้เข้าถึงพระราชปณิธานที่พระองค์ทรงสร้างประโยชน์สุขไว้ให้กับคนไทยมานานแสนนาน และให้ทุกคนได้สานต่อนำมาปฏิบัติเพื่อการพัฒนาทั้งตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติต่อไป

เข้าสู่กิจกรรมการแข่งขันกีฬาในรอบชิงชนะเลิศ ได้เห็นความทุ่มเท ตั้งใจฝึกซ้อม ความสามารถด้านกีฬา เพื่อมาถึงวินาทีแห่งความระทึกใจ เสียงกองเชียร์ประกาศก้องสนาม หัวใจของครู โค้ช ผู้ปกครอง ผู้สนับสนุน ทุกคนมารวมกันอยู่ที่นี่ และที่สำคัญ...ได้เห็นความสามัคคีของนักกีฬาที่จะมาชิงชัยด้วยหัวใจของมิตรภาพ ด้วยการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เป็นการแข่งขันที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงปรบมือ

จนถึงในช่วงท้ายทุกโรงเรียนจากทั้งสองโครงการ จะได้มาร่วมกันในกิจกรรมการแสดงพหุวัฒนธรรม ได้ชื่นชมสัมผัสความงดงามของศิลปะ...ประเพณีจากแต่ละภูมิภาค และจบท้ายด้วยการแสดงร่วมกัน เพื่อสานสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวก่อนที่ทุกคนจะได้กลับบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม การสวมกอด คำทักทาย และการจากลา

ด้วย...คำสัญญาว่าจะกลับมาพบกันอีก ด้วยความรักที่เพื่อนนักเรียนกีฬาจากทั่วประเทศพร้อมจะมอบให้กัน

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในโครงการ “สามัคคีสัมพันธ์ สานฝันห้องเรียนกีฬา” กิจกรรมสรรค์สร้างที่ดึงศักยภาพเยาวชนไทยที่มีหัวใจรักกีฬา ให้พวกเขาได้มีโอกาสกลับมาในฐานะกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต

นี่คือหนึ่งในภารกิจกระทรวงศึกษาธิการที่เดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทย ให้ได้เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ ความสามารถด้านวิชาการ และมุ่งสู่ความฝันเพื่อการเป็นนักกีฬามืออาชีพในอนาคตอย่างเต็มภาคภูมิ.