อ.เจษฎา โชว์คลิปทดลอง น้ำยาล้างห้องน้ำผสมน้ำยาซักผ้าขาว ทำปฏิกิริยาเกิดก๊าซคลอรีน หากสูดดมมากถึงตาย ห้ามผสมกันเด็ดขาด แนะ หากเทน้ำยาผิดให้ใช้น้ำเปล่าล้างออกให้มากที่สุด

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์คลิปพร้อมอธิบายการทดสอบ “น้ำยาล้างห้องน้ำ ผสมกับ น้ำยาฟอกผ้าขาว” ผ่านเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ สืบเนื่องจากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Punnatut Topunya โพสต์เรื่องราวว่าเพื่อนนำน้ำยาซักผ้าขาวไปราดๆ ในห้องน้ำ ราดเยอะมากๆ ทั้งผนัง พื้น โถสุขภัณฑ์ แต่มาเห็นภายหลังว่าไม่ใช่ จึงหยิบน้ำยาล้างห้องน้ำไปราดซ้ำจำนวนมาก กระทั่งต่อมาเกิดกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ และควันสีเขียวจางๆ ฟุ้งเต็มห้องน้ำ ทำให้แสบตาและอาเจียน จนต้องรีบหนีออกจากห้องนั้น


อาจารย์เจษฎา ได้โพสต์คลิปซึ่งเป็นการทดลองเพื่อไขความกระจ่าง โดยการนำน้ำยาทั้ง 2 ชนิดมาผสมกัน พร้อมอธิบายว่า เพราะน้ำยาซักผ้าขาว (bleach) มักจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่ชื่อ โซเดียมไฮโปคลอไรต์ (sodium hypochlorite NaClO) ขณะที่ น้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งแม้ว่าจะมีหลายสูตร แต่สูตรที่นิยมใช้กันเพราะกำจัดคราบหินปูนได้ดี มักจะมีกรดไฮโดรคลอริก (hydrochloric acid HCl) สารทั้งสองตัวนี้เมื่อผสมกัน ก็จะเกิดก๊าซคลอรีนขึ้น ตามสมการ NaClO + HCl >> Cl2 (ก๊าซคลอรีน) + NaCl + H2O

...

ทั้งนี้ ก๊าซคลอรีนมีอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่ระดับ
1. ถ้าก๊าซคลอรีนมาสัมผัสโดนใบหน้า มันจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก ปาก หลอดลม และผิวหนัง เพราะก๊าซคลอรีนจะทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ได้
2. เมื่อหายใจเข้าไป มันจะเข้าไปสู่ปอด ทำให้หายใจติดขัด และทำให้เกิดของเหลวคั่งในปอด เป็นอันตรายได้ ยิ่งถ้าใครเป็นโรคหอบหืดอยู่ ก็จะยิ่งเป็นอันตรายหนักขึ้น
3. ถ้าหายใจเข้าไปมากๆ หรือมีความเข้มข้นสูง ก็จะถึงกับตายได้ เพราะก๊าซคลอรีนเป็นก๊าซพิษ ขนาดที่เคยใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว (ระดับความเป็นพิษเมื่อสูดดม คือ LD50 = 293ppm ในหนูที่ให้ดม 1 ชั่วโมง)

นอกจากห้ามผสม น้ำยาล้างห้องน้ำ กับ น้ำยาซักผ้าขาว แล้ว ยังมีสารเคมีอีกหลายตัวที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในครัวเรือน แล้วจะเกิดสารอันตรายได้ถ้าบังเอิญมาผสมกัน ... ดังนั้น จึงไม่ควรเอาน้ำยาใดๆ มาผสมกันเอง และถ้าเผลอทำหก หรือเทผิด ก็ให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่าให้มากที่สุดก่อนเทน้ำยาอื่นตามลงไป.

(ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ และ Punnatut Topunya)