กลายเป็นปรากฏการณ์นิวนอร์มอลของราชวงศ์ไทย ที่เรียกเสียงฮือฮาสะเทือนเลื่อนลั่นปฐพี เมื่อ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงปรับทัพราชวงศ์ขนานใหญ่ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่เสริมฐานรากที่มั่นคงให้กับสถาบันกษัตริย์ไทย โดยแท็กทีม “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” และพระราชธิดาทั้งสอง พระองค์ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นหมู่คณะ เพื่อสร้างบิ๊กอิมแพกต์เรียกคะแนนนิยมกลับคืนมาจากประชาชน งานนี้เลยมาครบทั้งป้ายไฟ, ดอกกุหลาบ และโอปป้าแจกลายเซ็น

ยิ่งนับวันฐานแฟนคลับของราชวงศ์ไทยจะยิ่งขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นการพลิกเกมที่ฉลาดเหลือล้ำจริงๆ ใครจะกล้านึกฝันว่าชีวิตนี้จะได้เห็นประชาชนตัวเล็กๆถ่ายเซลฟี่กับองค์พระประมุขของประเทศ แถมเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงแจกลายเซ็น, ถ่ายรูปร่วมกับประชาชน และยื่นพระหัตถ์ให้สัมผัสอย่างเป็นกันเอง โดยวิถีใหม่ของการรับเสด็จเปลี่ยนไปมากอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการแสดงความจงรักภักดี ด้วยการชูป้ายไฟ และถวายดอกกุหลาบ อีกทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนยกมือถือขึ้นถ่ายรูปได้อย่างหนำใจ

“กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” พระราชดำรัสสั้นๆที่ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ตรัสกับชายผู้ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ 9 ไว้เหนือหัว ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มราษฎร กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทลายกำแพงระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชน!!

พสกนิกรที่สวมใส่เสื้อเหลืองมาเฝ้าฯรับเสด็จอย่างเนืองแน่น หน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2563 หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ในหลวงสู้สู้” สลับกับเสียงถวายพระพรกึกก้อง “ทรงพระเจริญ” เพื่อส่งมอบกำลังใจถึงกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเขา แม้แต่ในยามที่สายฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ก็นำทีมพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งครอบครัว ทรงพระดำเนินเยี่ยมราษฎรกลางสายฝนมาแล้ว หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตในหลวง รัชกาลที่ 9 โดยทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนที่มาเฝ้าฯรับเสด็จตลอดสองฟากถนนหน้าพระบรมมหาราชวัง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ความในพระราชหฤทัยของ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทย ก็พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเสด็จฯไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่ใด จะทรงพระดำเนินเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิดเสมอ พร้อมตรัสทักทายและยื่นพระหัตถ์ให้ประชาชนสัมผัส ขณะที่ “สมเด็จพระราชินี” ก็ทรงอยู่เคียงข้างมิได้ห่างกาย คอยแย้มพระสรวลโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนตลอดเวลา และจะหยุดแวะรับสั่งคุยนานเป็นพิเศษเมื่อเจอกับกลุ่มเอฟซีแฟนคลับ ที่นับวันจะมีมากขึ้นทุกที จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ของราชวงศ์ไทยไปแล้ว

การแจกลายเซ็นและพระราชทานข้อคิดดีๆให้แก่ประชาชน เพื่อถ่ายทอดความในพระราชหฤทัย ก็เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่สะท้อน “ความปกติใหม่ของราชวงศ์ไทย” ล้วนแต่ซาบซึ้งกินใจและชวนฉุกคิด ไม่ว่าจะเป็น “ทำดี รักชาติ ทำในสิ่งที่ถูก มีน้ำใจ รักกัน ชาติเจริญ”, “ความรักและความสามัคคี หวังดีต่อเพื่อนร่วมชาติ และรอยยิ้ม ทั้งกาย+ใจ ทำให้ชาติมั่นคง” หรือ “ช่วยกันรักประเทศไทย และพี่น้องประชาชน รักบ้านเรา รักพี่น้องร่วมชาติ ด้วยความเมตตา และร่วมสามัคคี ทำความดี”

แล้วใครจะกล้านึกฝันว่าชีวิตนี้จะได้เห็นพระมหากษัตริย์ไทยพระราชทานสัมภาษณ์สื่อต่างชาติต่อหน้าสาธารณชน โดย “โจนาธาน มิลเลอร์” ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นและสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษ ทูลถาม “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ระหว่างปักหลักรายงานข่าวบริเวณหน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ว่า “คนเหล่านี้จงรักภักดีต่อพระองค์ ทว่าพระองค์จะมีพระราชดำรัสอย่างไรต่อผู้ชุมนุมที่ออกมาบนท้องถนนเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน” พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า เจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความคิดเห็น เรารักพวกเขาเฉกเช่นเดียวกัน” เมื่อผู้สื่อข่าวต่างชาติทูลถามต่อว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการประนีประนอมเกิดขึ้น พระองค์ตรัสว่า “ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม เรารักประชาชนชาวไทย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และประเทศนี้มีความสงบสุข นี่เป็นความรักที่แท้จริง อย่างที่คุณเห็น”

อีกครั้งที่ทรงเผยความในพระราชหฤทัยอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ตอนที่เสด็จฯไปทรงเป็นองค์ประธานในกิจกรรมอบรมผู้นำเยาวชนจิตอาสา ค่าย LOVE camp ณ ศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 บางเขน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในเยาวชนที่เคยขอพระราชทานถ่ายรูปเซลฟี่กับพระองค์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ได้กราบทูลว่า “มีข่าวลือข่าวใส่ร้ายพระองค์เยอะแยะทางโซเชียลมีเดีย และกระหม่อมเองก็เคยคิดลบกับพระองค์ จนในชีวิตมีโอกาสได้พิสูจน์ที่สนามหลวง จึงได้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อเยาวชนไทย”

“ในหลวง รัชกาลที่ 10” มีรับสั่งตอบอย่างแหลมคม พร้อมยืนกรานว่าพระองค์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง!!...“ข่าวดีก็มี ได้ข่าวไม่ดีก็มีได้ พวกเราต้องไปแยกแยะกันเองว่าอะไรเป็นข่าวดี หรือข่าวไม่ดี ไอ้เราก็ไม่ได้เคยโฆษณาตัวเองว่าดี หรือไม่ดี มันก็อยู่ที่พวกเราทุกคนตัดสินเอาเอง แต่สิ่งที่ขอก็คือขอให้เราชั่งใจให้ดีเป็นใช้ได้ ได้รับข่าวดีก็ต้องถามว่าอะไรมันดี ข่าวลบมันไม่ดีก็ต้องดูว่ามันจริงหรือไม่ ก็เป็นของธรรมดา ตั้งแต่สมัยเป็นสมเด็จพระบรมฯมา ก็มีข่าวไม่ดี แม้แต่เป็นใครก็ต้องพูดดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นของธรรมดา เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองในเรื่องใดๆทั้งนั้น ก็คนที่อยู่ก็เป็นคนตัดสินพิสูจน์เอาเองว่าเราดีหรือไม่ดี เด็กรุ่นใหม่ๆก็ดูเอาเอง แต่ขอให้เราเป็นเด็กดี เป็นคนดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็สบายใจแล้ว”

ขณะที่เด็กชาวม้งกราบทูลพระองค์แบบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ว่า “หนูได้ยินคนพูดว่าเมื่อ ร.9 สวรรคต ม้งจะไม่มีที่อยู่ ร.10 จะให้ม้งออกไปจากประเทศให้หมด หนูกลัวมาก กลัวว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ กลัวว่าจะไม่มีที่ไป ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่หลายปีผ่านไป ร.10 ก็ไม่เคยไล่ พวกเราทุกคนสบายดี แล้วในหลวงก็ยังให้หนูเรียนหนังสือด้วย” พระองค์ตรัสให้กำลังใจว่า “ในแผ่นดินนี้ ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด เราทุกคนคือคนไทย ประเทศเราไม่เหมือนชาติอื่นใดในโลก เรารักกัน เราช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน และในหลวงจะไม่มีวันทิ้งคนไทย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะทำทุกอย่างเพื่อคนไทย ขออย่าได้กังวล”

แม้จะเป็นถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ก็ทรงยอมรับต่อหน้าเยาวชนไทยรุ่นใหม่ที่ทูลถามว่า ทรงท้อบ้างหรือไม่ที่มีแต่ข่าวไม่ดีข่าวโกหกมากมาย... “เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนที่จะเหนื่อย หรือท้อ หรือเสียใจ แต่เราต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ฉุดรั้งให้เราหยุดทำงาน หยุดทำหน้าที่ หรือหยุดทำสิ่งดีๆเพื่อชาติบ้านเมือง”

“...ในหลวงจะไม่มีวันทิ้งคนไทย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะทำทุกอย่างเพื่อคนไทย”...จากวันนั้นจนวันนี้เสียงยังดังกึกก้องไปทั่วทั้งแผ่นดิน ดุจคำมั่นสัญญาที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ไว้กับประชาชนคนไทยทุกคน เพราะเราทุกคนคือคนไทยเหมือนกัน.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ