ปิดวางดอกไม้ ถึง22น.23ต.ค.
พสกนิกรสุดซาบซึ้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯร่วมซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ครบทุกขั้นตอน ขณะที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงม้านำซ้อมริ้วขบวนฯที่ 6 ด้าน กอร.พระราชพิธี จัดเต็มเข้มงวดคนเข้าร่วมชมการซ้อม ยึดร่มหลากสี ห้ามใช้กล้องเลนส์ซูม และปิดการวางดอกไม้สดในเวลา 22.00 น. วันที่ 23 ต.ค. เพื่อจัดเตรียมพื้นที่รองรับคลื่นมหาชนที่จะมาร่วมในงานพระราชพิธีฯ โดยเปิดให้เข้าพื้นที่ได้ตั้งแต่ตีห้าวันที่ 25 ต.ค.นี้
กองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เปิดให้ประชาชนเข้าชมความยิ่งใหญ่ของริ้วขบวนพระบรมอิสริยยศ ที่ 4-6 ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริ วัณณวรีนารีรัตน์ ที่ทรงร่วมการฝึกซ้อมได้อย่างใกล้ชิดเมื่อวันที่ 22 ต.ค.
ซ้อมริ้วขบวนพระบรมอิสริยยศที่ 4-6
ทั้งนี้ ที่พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง คณะกรรมการฝ่ายจัดริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดการฝึกซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 4 อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ โดยพระที่นั่งราเชนทรยาน เชิญพระบรมราชสรีรางคาร หรือเถ้าพระบรมอัฐิ โดยพระราเชนทรยานน้อย จากพระเมรุมาศ เข้าสู่ พระบรมมหาราชวัง ตามหมายกำหนดการในวันที่ 27 ต.ค. และฝึกซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 5 อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐานบนพระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ตามหมายกำหนดการ วันที่ 29 ต.ค.โดยตั้งแต่เวลา 09.40 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งทรงธรรม พระเมรุมาศ ทรงร่วมในการฝึกซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 4-5 โดยมีนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการพระราชวัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี พระราชวงศ์ สมาชิกราชสกุลทุกมหาสาขา ฯลฯ เฝ้ารับเสด็จ จากนั้น พล.ต.ณัฐวัฒน์ อัคนิบุตร ในฐานะผู้ควบคุมการฝึกซ้อม นำความกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อถวายรายงานขั้นตอนการฝึกซ้อมในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 4-5 ก่อนที่จะเริ่มสมมติ การปฏิบัติจริงในพระราชพิธี เริ่มจากขั้นตอนการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะเสด็จฯยังพระที่นั่งทรงธรรม
บรรจุพระบรมอัฐิในพระโกศทองคำ
จากนั้นเป็นการจำลองขั้นตอนที่สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จขึ้นบนพระเมรุมาศ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วประทับพระราชอาสน์บนพระจิตกาธาน โดยจะทรงสรงพระบรมอัฐิด้วยน้ำพระสุคนธ์ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงเก็บพระบรมอัฐิ จุ่มน้ำพระสุคนธ์ลงในขันลงยา และทรงวางลงในพระโกศทองคำลงยาประดับเพชร 6 พระโกศ เจ้าพนักงานจะประมวลพระบรมอัฐิลงใน พระโกศรอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ ลงไปยังพระที่นั่งทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จลงยังพระที่นั่งทรงธรรม ทรงประกอบพิธีสงฆ์ ถวายโตกภัตตาหารสามหาบ ทรงประเคนเครื่องสังเค็ดในพระราชพิธี พระสงฆ์จะสวดมาติกา เสร็จแล้วภูษามาลาเชิญพระบรมอัฐิจำลอง ประดิษฐานยังพระที่นั่งราเชนทรยาน พระบรมราชสรีรางคาร ประดิษฐาน พระราเชนทรยานน้อย พระโกศทองคำลงยาประดับเพชร 6 ประดิษฐานบนรถพระที่นั่ง
ทำทุกขั้นตอนเสมือนวันจริง
ขณะที่พระราชพิธีดำเนินอยู่บนพระที่นั่งทรงธรรม ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 4 เริ่มเคลื่อนเข้ามาตั้งริ้วในพระเมรุมาศ ประกอบด้วยตำรวจม้านำ ตามด้วยมโหระทึก กลองชนะลายทองซ้ายขวา แตรฝรั่ง แตรงอน สังข์ เครื่องสูงทองแผ่ลวด แถวตำรวจหลวงขนาบ ตามด้วยแถวประธานกรรมการ ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ธงมหาราชจำลอง พระที่นั่งราเชนทรยาน ทรงพระโกศพระบรมอัฐิ มีพลแบกหาม 56 นาย มี รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานภูษามาลาประคองพระบรมอัฐิ ตามด้วยพระราเชนทรยานน้อย ทรงพระบรมราชสรีรางคาร โดยพลแบกหาม 56 นาย มี ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ทำหน้าที่ภูษามาลาประคองพระบรมราชสรีรางคาร มหาดเล็กเชิญเครื่องทองน้อย ทหารมหาดเล็กเชิญธงราชวงศ์ฝ่ายใน แถวอัญเชิญเครื่องราชูปโภค พระราชวงศ์ และข้าราชบริพาร ฯลฯ
สมเด็จพระเทพฯ ทรงร่วมริ้วขบวนฯ
เวลา 09.42 น. ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 4 เริ่มเคลื่อนจากพระเมรุมาศ เข้าสู่พระบรมมหาราชวัง โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชดำเนินในริ้วขบวน ในตำแหน่งหลังพระราเชนทรยานน้อย โดยเคลื่อนขบวนตามจังหวะเสียงกลอง ทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนให้มีวงโยธวาทิตในริ้วขบวนบรรเลงเพลงมาร์ชธงชัยเฉลิมพล มาร์ชราชวัลลภ เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใกล้รุ่งและยามเย็นด้วย ครั้นเมื่อออกจากท้องสนามหลวง ริ้วขบวนจะเลี้ยวขวาผ่านถนนราชดำเนินใน เลี้ยวขวาผ่านถนนหน้าพระลานเข้าสู่พระบรม มหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี ระยะทาง 1,074 เมตร ใช้เวลา 30 นาที เมื่อถึงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระที่นั่งราเชนทรยานจะเคลื่อนเทียบที่เกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท เพื่อเชิญพระโกศพระบรมอัฐิเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประดิษฐานในบุษบกแว่นฟ้าทองเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดล ส่วนของพระราเชนทรยานน้อย ทรงพระบรมราชสรีรางคารนั้น จะแยกขบวนไปเทียบที่ประตูกำแพงแก้ว วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเชิญพระบรมราชสรีรางคาร โดยพระเสลี่ยงไปประดิษฐานในพระศรีรัตนเจดีย์
ทอดพระเนตรจนสิ้นสุดการซ้อม
ต่อด้วยการฝึกซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 5 ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่ออัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ขึ้นประดิษฐานในพระวิมานชั้นบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยใช้พระที่นั่งราเชนทรยาน ริ้วขบวนประกอบด้วย นำริ้ว ธงสามชาย ตำรวจหลวง กลองชนะ เครื่องสูง ราชองครักษ์เชิญธงมหาราชนำพระที่นั่งราเชนทรยาน ฯลฯ เป็นอันสิ้นสุดการฝึกซ้อม ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 12.17 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ
“พระองค์หญิง” ทรงม้าซ้อมนำขบวนที่ 6
จากนั้น เวลาประมาณ 17.00 น. พ.ท.หญิง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงเป็นผู้บังคับการกองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ เสด็จทรงม้านำริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 6 ตั้งขบวนบนถนนจักรีจรัณย์ ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อซักซ้อมการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปยังบัลลังก์พระพุทธชินสีห์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และบรรจุลงในถ้ำศิลา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามหมายกำหนดการวันพระราชพิธีที่ 29 ต.ค.
ทั้งนี้ ริ้วขบวนที่ 6 ประกอบด้วยขบวนทหารม้าจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ 77 ม้า มีหมู่แตรเดี่ยว หมู่ธงชัยเฉลิมพล ทหารม้าอิสริยยศนำ ตามด้วยขบวนรถยนต์พระที่นั่ง และกองทหารม้าอิสริยยศตาม และเป็นครั้งแรกที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงม้านำริ้วขบวนพระราชพิธีด้วย กระทั่งเมื่อสิ้นสุดการซ้อมอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคาร มายังรถพระที่นั่งเสร็จสิ้นลงแล้ว ในเวลา 17.44 น. พ.ท.หญิง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงบังคับม้านำริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 6 เคลื่อนออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี ผ่านถนนหน้าพระลาน ถนนสนามไชย เลี้ยวซ้าย ถนนกัลยาณไมตรี ข้ามสะพานช้างโรงสี เลี้ยวขวาถนนอัษฎางค์ เลี้ยวซ้ายเทียบที่เกยหน้าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อการซักซ้อมอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคาร มาประดิษฐานที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เสร็จสิ้นลง พ.ท.หญิง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงบังคับม้านำริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 6 มุ่งหน้าไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร ใช้เส้นทางเลี้ยวขวาถนนอัษฎางค์ เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานช้างโรงสี ไปตามถนนกัลยาณไมตรี เลี้ยวขวาถนนสนามไชย ถนนราชดำเนินใน ข้ามสะพานพิภพลีลา ถนนราชดำเนินกลาง เลี้ยวซ้ายถนนพระสุเมรุ ไปเทียบหน้าประตูวัดบวรนิเวศวิหาร จึงเป็นอันเสร็จสิ้นการฝึกในริ้วขบวนที่ 6 ที่รวมเวลาซ้อมทั้งสิ้นกว่า 2 ชั่วโมง
ปีติรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ
ขณะที่บรรยากาศโดยรอบมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าคลาคล่ำไปด้วยประชาชนจากทุกสารทิศเข้ามาจับจอง พื้นที่ที่ดีที่สุดในการชมการซ้อมริ้วขบวนฯ แม้ว่าก่อนหน้านี้เกิดฝนตกลงมา แต่ทุกคนต่างหาได้ย่อท้อ เดินเข้ามาทางด้านต่างๆ อาทิ หน้าศาลหลักเมือง และกระทรวงกลาโหม เพื่อจับจองพื้นที่ชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ที่ 4 จนเต็มบริเวณฟุตปาทถนนสนามไชย โดยส่วนใหญ่นำร่มสีดำมากางกันฝนด้วย จากนั้นเมื่อเวลา 10.30 น. การซ้อมได้เริ่มขึ้น เมื่อประชาชนได้เห็นสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงร่วมซ้อมในขบวน ต่างพากันก้มลงกราบบนพื้นถนนด้วยความจงรักภักดี บางรายถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มออกมา ซึ่งขณะที่สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระดำเนินผ่าน ได้ปรากฏความอัศจรรย์เมื่อพระอาทิตย์ที่สาดแสงแรงกล้าอยู่นั้น กลับมีเมฆเข้ามาบดบังจนเกิดเป็นร่มเงา ส่วนอากาศที่ร้อนอบอ้าวก็มีสายลมพัด มาเบาๆ คลายความร้อนลง ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าวต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเพราะพระบารมีของพระองค์ท่านที่ช่วยคลายความร้อนลงได้ เพราะเมื่อทรงพระดำเนินผ่านแสงแดดก็กลับมาแผดจ้าดังเดิม
เข้มงวดตรวจบัตรประชาชน
ส่วนที่บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าตั้งแต่เวลา 05.00 น. เป็นต้นมา ประชาชนได้นำแผ่นพลาสติกหรือเสื่อมาปูรองนั่งเป็นแนวยาวตั้งแต่ริมถนนหน้าพระธาตุ ไปจนถึงแยกพระจันทร์ ท่ามกลางเหล่าจิตอาสาที่มาคอยดูแลอำนวยความสะดวก กระทั่งเวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่เปิดจุดคัดกรองให้ประชาชนเข้าไปชมการซักซ้อมริ้วขบวนได้ภายในกลางสนามหลวง โดยทุกคนต้องแสดงบัตร ประจำตัวประชาชน ถอดหมวก แว่นตากันแดด ขณะเดินผ่านจุดคัดกรองเข้าไป
ยึดร่มหลากสีห้ามนำเข้าพื้นที่
ขณะที่บริเวณจุดคัดกรองพระแม่ธรณีบีบมวยผม มีประชาชนทยอยเดินทางผ่านเข้ามารอชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ขบวนที่ 4-6 ที่ด้านข้างสนามหลวงตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ไม่หนาแน่นเหมือนวันซ้อมใหญ่เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ส่วนการตรวจค้นกลับมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยพบว่าเจ้าหน้าที่ตรวจยึดร่มหลากสีที่ประชาชนนำเข้ามากันแดดกันฝนมากองไว้เป็นจำนวนมาก จากที่ก่อนหน้านี้ยังผ่อนผันให้นำเข้าได้ โดยจะให้นำเข้าไปได้เฉพาะร่มสีดำ หรือสีเทา รวมทั้งห้ามประชาชนนำกล้องถ่ายรูปที่ติดเลนส์ซูมเข้าไปด้านใน ทำให้การนั่งรอชมริ้วขบวนบริเวณด้านข้างพระแม่ธรณีบีบมวยผมยาวไปถึงศาลฎีกา เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ไม่มีคนยืนถือไม้เซลฟี่ถ่ายริ้วขบวนฯเหมือนที่ผ่านมา ขณะที่บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ฝั่งตรงข้ามจุดคัดกรอง กลุ่มจิตอาสาได้นำน้ำดื่ม ขนม และภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ 9 มาแจก ซึ่งมีคนเข้าแถวต่อคิวรอรับจำนวนมาก
ยิ่งใกล้วันพระราชพิธีฯ ยิ่งใจหาย
หลังจากการซักซ้อมริ้วขบวนฯ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ผู้สื่อข่าวสอบถามประชาชนเข้ามาชมการซ้อมริ้วขบวนฯในครั้งนี้ แต่ละคนก็รู้สึกไม่ต่างกันว่าแม้จะยังทำใจไม่ได้และใจหายเมื่อนึกถึงวันที่ 26 ต.ค.ที่ใกล้จะมาถึง แต่ก็ยังรู้สึกตื้นตันใจที่ได้เห็นความสง่างามสมพระเกียรติของพระราชพิธี ที่ถือว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ และจะขอน้อมนำพระราชดำรัสต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิตและสอนลูกหลานให้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กับปวงชนชาวไทย อาทิ นายอนุสรณ์ พากเพียร อายุ 45 ปี ที่แบกลูกชายวัย 8 เดือน ด.ช.สรวิทย์ หรือ “น้องแบงค์” มายืนชมการซ้อมริ้วขบวนฯ โดยยืนยันอยากพาลูกเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์สำคัญที่เป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ แม้จะเป็นวันซ้อมก็ตาม ซึ่งเมื่อลูกเติบโตขึ้นจะได้เป็นสิ่งเตือนใจให้เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ทั้งด้านความพอเพียง ความกตัญญู รักและเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ขณะที่ น.ส.สุภาพร อุปมา อายุ 29 ปี ชาว นครราชสีมา กล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจ โดยเฉพาะได้เห็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ทรงร่วมซ้อมอยู่ในขบวนด้วย รู้สึกถึงความอดทนของพระองค์ท่าน เพราะเมื่อซ้อมใหญ่พระองค์ก็เสด็จด้วย ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด แต่พระ องค์ทรงอดทนมาก อีกความรู้สึกหนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่ใกล้จะถึงวันที่ 26 ต.ค. ที่คนไทยต้องจากพระมหากษัตริย์ผู้ที่ทรงงานเพื่อพสกนิกรมาตลอดที่ทรงครองราชย์ ใจหายมาก ไม่ต่างจาก น.ส.วรรณทณี เติมเกาะ อายุ 53 ปี ที่บอกว่ารู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้มาชมการซักซ้อม ดูแล้วน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียบุคคลสำคัญของชีวิตไป
ร.10 พระราชทานกระเช้าขนม
ด้านหนึ่งที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในพระบรมมหาราชวัง เวลา 09.14 น. มีการประกอบพิธีบวงสรวงบูชาครูช่างแทงหยวก ตามจารีตของการแทงหยวกเพื่อจัดทำเครื่องสดประดับพระจิตกาธานของราชสำนัก มีทีมช่างแทงหยวกราชสำนัก ช่างแทงหยวกตัวแทนสี่ภาค ศิษย์เก่าวิทยาลัยในวังชาย รวม 68 คน เข้าร่วม สำหรับไฮไลต์ของพิธีประกอบด้วยการจัดทำน้ำมนต์ธรณีสาร เพื่อนำมาประพรมเครื่องมือช่างแทงหยวก และต้นกล้วยต้นเอก ที่จะใช้แทงหยวกในชั้นเรือนยอด ต่อด้วยการอ่านโองการไหว้ครูช่างแทงหยวก เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล และขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเริ่มงาน นายบุญชัย ทองเจริญบัวงาม นักจัดการในพระองค์ชำนาญการ กองศิลปกรรมสำนักพระราชวัง กล่าวว่า การแทงหยวกของเหล่าช่างต่างๆจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. โดยจะใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ให้เสร็จภายใน 4 ทุ่มวันที่ 24 ต.ค. เนื่องจากมีกำหนดขึ้นติดตั้งบนพระจิตกาธาน เวลา 05.00 น.วันที่ 25 ต.ค. พร้อมกันนี้ นายบุญชัย ยังกล่าวด้วยว่า วันนี้คณะช่างเครื่องสดประดับพระจิตกาธานทั้งหมด ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน กระเช้าขนมหวาน จำนวน 5 กระเช้ามาให้ สร้างความปลาบปลื้มเป็นล้นพ้นแก่ทีมงานทุกคน
วางดอกไม้สดได้ถึง 23 ต.ค.
ต่อมา พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รักษาราชการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวาย พระเพลิงพระบรมศพ ให้สัมภาษณ์ขณะเข้าตรวจเยี่ยมความเรียบร้อยในศูนย์สื่อมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ว่า เช้าวันเดียวกันนี้ได้ประชุมร่วมกับ กอร.พระราชพิธี โดยทางสำนักพระราชวังแจ้งว่า จะปิดให้ประชาชนนำดอกไม้มาวางเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ข้างกำแพงพระบรมมหาราชวัง ในเวลา 22.00 น. ของวันที่ 23 ต.ค.2560 เพื่อเคลียร์ประชาชนให้ออกนอกพื้นที่ และความสะดวกในการเตรียมความพร้อมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันที่ 26 ต.ค.นี้ โดยจะเริ่มเปิดให้ประชาชนเข้าในพื้นที่ท้องสนามหลวงตามจุดที่ได้กำหนดไว้ในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 25 ต.ค.เป็นต้นไป
ย้ำ 2 สิ่งต้องห้ามนำเข้ามา
รักษาราชการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับบุคคลที่จะเข้ามาในพื้นที่นั้นจะต้องถูกสแกนอย่างเข้มงวด เพราะที่ผ่านมาพบปัญหา มีประชาชนนำกล้อง DSLR หรือกล้องใหญ่ติดเลนส์ซูมเข้ามาใช้ถ่ายภาพริ้วขบวนในพื้นที่ ดังนั้น ในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ถ้าใครนำกล้องชนิดดังกล่าวนี้เข้ามาในพื้นที่ผ่านจุดคัดกรอง จะไม่สามารถเข้าในพื้นที่ได้ หรือหากจะฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ จะไม่รับรองความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ส่วนกล้องคอมแพ็ก หรือโทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง อนุโลมให้นำมาใช้ได้ ส่วนร่มนั้น อยากจะขอให้ประชาชนนำร่มที่มีสีเทาหรือสีดำมาใช้กันแดดในพื้นที่ได้ หรือหากไม่มี ประชาชนสามารถนำร่มสีอื่นมาแลกยืมได้ที่จุดคัดกรอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้จำนวน 1 หมื่นคัน ข้อปฏิบัติก็คือ ประชาชนสามารถกางร่มกันแดดในพื้นที่ได้ แต่เมื่อขบวนจะมาถึงก่อนประมาณ 50 เมตร จะมีเจ้าหน้าที่คอยเตือนให้หุบร่มลง เพื่อความเป็นระเบียบและสง่างาม
สั่ง ขสมก.แก้จุดจอดรถส่งคน
ส่วนปัญหาการแออัดที่บริเวณถนนราชดำเนินนอก หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์นั้น พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ทราบถึงปัญหานี้แล้ว เกิดจากรถเมล์มาจอดส่งผู้โดยสารเพียงจุดเดียว ทำให้เกิดการแออัด เบื้องต้น ทาง ขสมก.รับทราบปัญหาและแก้ไขโดยจะเปลี่ยนจุดส่งผู้โดยสารไปที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแทน ให้ประชาชนสามารถเดินไปเข้าที่จุดคัดกรองจุดอื่นๆ ผ่านศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เข้าไปทางจุดคัดกรองบริเวณสวนสราญรมย์ เพื่อลดการแออัดทางด้านโรงแรมรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้รอบบริเวณสนามหลวงเตรียมเส้นทางฉุกเฉินไว้ทุกจุด เพื่อเตรียมความพร้อมหากมีประชาชนเกิดเจ็บป่วยขึ้น
คนย่านข้าวสารแห่ทำบัตรเข้าออก
วันเดียวกันที่ สน.ชนะสงคราม บรรดาผู้ประกอบการและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณถนนข้าวสาร และบริเวณใกล้เคียงท้องสนามหลวง เดินทางมาทำบัตรเข้าออกบริเวณดังกล่าวกันยาวเหยียด เนื่องจากในวันที่มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะมีการปิดถนน ไม่อนุญาตให้รถทุกชนิดเข้าออกในบริเวณดังกล่าว แต่จะให้เฉพาะรถของผู้ที่อาศัยในย่านนี้ที่มีใบอนุญาตเข้าออกได้เท่านั้น ผู้ประกอบการรายหนึ่งกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กำหนดให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่มีบ้านและที่ทำงานอยู่ในย่านถนนข้าวสาร ซึ่งตนค้าขายอยู่บริเวณโซนนี้ เพื่อความสะดวกจึงต้องเข้ามาทำสติกเกอร์เข้า-ออก ให้ถูกต้องตามที่ตำรวจกำหนดไว้
ตร.เปิดตัวแอพฯ “Zon ทำดีเพื่อพ่อ”
นอกจากนี้ ช่วงสายวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม ศอก.ตร.ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวีดิโอทางไกล ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ทั้งด้านการจราจรและการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่จะเข้าร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในพื้นที่ต่างๆ จากนั้น พล.ต.อ.วิระชัย ให้สัมภาษณ์ว่า ได้กำชับทุกหน่วยในสังกัดให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้กับประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “Zon ทำดีเพื่อพ่อ” สำหรับใช้ติดต่อสอบถามและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการให้บริการประชาชน และการอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนในด้านต่างๆในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ทบ.พร้อมรับคนถวายดอกไม้จันทน์
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ถึงการที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เป็นหนึ่งในสถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ และเป็นสถานที่รองรับประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ว่าขณะนี้จัดเตรียมสถานที่บริเวณสนามหน้า บก.ทบ. รวมทั้งก่อสร้างซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างสมพระเกียรติ จะเปิดให้ประชาชนเข้ามาพักรอและถวายดอกไม้จันทน์ ในวันที่ 26 ต.ค. ตั้งแต่เวลา 08.00-24.00 น. โดยพิธีถวายดอกไม้จันทน์จะมีขั้นตอนและรูปแบบเดียวกับพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง สำหรับพื้นที่ บก.ทบ.รองรับประชาชนได้ประมาณ 50,000 คน โดยจะจัดแสดงนิทรรศการ พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมจุดบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบถ้วน ทั้งนี้ กองทัพบกโดย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมพิธีโดยแต่งกายด้วยชุดสุภาพสีดำ และขอให้ผู้ที่จะเดินทางมาเตรียมร่างกายให้พร้อม แต่งกายให้เหมาะสม พกยาที่ใช้เป็นประจำ หากนำเด็กมาด้วยขอให้ติดชื่อ และที่อยู่ผู้ปกครองไว้ที่บุตรหลานด้วย
เข็มที่ระลึกพระราชพิธีหมดในวันเดียว
ส่วนที่กรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์ กทม.ที่มีการเปิดจำหน่ายเข็มที่ระลึกพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นวันแรก นายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจำหน่ายเข็มที่ระลึกงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่กรมประชาสัมพันธ์ ในวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประชาชนมารอเข้าคิวซื้อเข็มตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของวันที่ 21 ต.ค. เริ่มแจกบัตรคิวเวลา 04.00 น. วันเดียวกันนี้ และเริ่มจำหน่ายเวลา 07.00 น. โดยจำหน่ายเข็มทั้ง 40,000 เข็มหมดในเวลา 15.30 น. ซึ่งประชาชนแต่ละคนสามารถซื้อได้เพียงคนละ 2 เข็ม เพื่อให้ได้รับเข็มกันอย่างทั่วถึง ส่วนประชาชนที่ยังไม่ได้ซื้อเข็มดังกล่าวในวันนี้ สามารถสั่งจองเข็มดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. โดยประชาชนในพื้นที่ กทม. สามารถสั่งจองได้ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัด จะมีการแจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งนี้ ประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะเปิดสั่งจองตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม นี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลที่หมายเลขโทรศัพท์ กองคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 0-2283-4301, 0-2283-4319-24
จุฬาราชมนตรี ถวายรำลึก ร.9
ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ เขตหนองจอก สำนักจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลาม ประจำกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ร่วมกันจัดงาน “ถวายคำรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” มีชาวไทยมุสลิมจากองค์กรและภาคส่วนต่างๆร่วมงานจำนวนมาก โดยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้กล่าวถวายความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยมุสลิม ว่ามีมากเหลือคณานับ ทรงสนพระราชหฤทัยในศาสนาอิสลามและเข้าพระทัยศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง ชาวไทยทุกหมู่เหล่าต้องตระหนักในการสืบสานพระราชปณิธาน และหลักการทรงงาน รวมทั้งแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จากนั้นได้นำกล่าวดุอาอ์ และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ในงานมีการฉายวีดิทัศน์พระราชกรณียกิจ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมุสลิม การอภิปรายการดำเนินชีวิตตามพระราชปณิธานของในหลวง รัชกาลที่ 9 กับบทบัญญัติศาสนาอิสลาม มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน
3 คนดังร่วมบวชถวายในหลวง ร.9
นอกจากนี้ ที่บริเวณลานสวนเฉลิมพระเกียรติ วัดใหม่ศรีร่มเย็น ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน พระเอกชัย สิริญาโณ เจ้าอาวาสวัด และ พล.อ.ประสาท สุขเกษม เลขานุการ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีปลงผมนาคให้แก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และ ประชาชน ที่เข้าร่วมบวชพระ 252 รูป บวชเณร 74 รูป ในจำนวนนี้มีนักร้องดัง “ชิน- ชินวุฒ อินทรคูสิน” ค่ายแกรมมี่ “กวินท์ ดูวาล” อดีตสมาชิกวง ทรี ทู วัน และนักแสดงรุ่นใหญ่ “ทนงศักดิ์ ศุภการ” ร่วมบวชด้วย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ระหว่างวันที่ 21-31 ต.ค.นี้ ซึ่งระหว่างปลงผม ชินวุฒ ดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า ต่อมาในเวลา 14.00 น. ผู้เข้าร่วมอุปสมบททั้งหมดได้แยกย้ายเดินทางไปยังวัดต่างๆ 8 แห่ง ประกอบด้วยวัดแก่นเหนือ วัดเกี๋ยงเหนือ วัดเกี๋ยงใต้ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย วัดสบสม วัดสถาน วัดทุ่งงิ้ว และวัดหาดไคร้ เข้าอุโบสถทำพิธีบวชพระ ก่อนที่ทั้งหมดจะกลับมาจำวัดที่วัดใหม่ศรีร่มเย็น โดย ชิน-ชินวุฒ กล่าวว่า เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้กับพ่อ และเป็นการบวชครั้งแรกหลังจากเป็นทหารแล้ว จึงขอเชิญชวนทุกท่านแม้ไม่ได้บวช มาร่วมตั้งจิตอธิษฐานให้พระองค์ท่านสู่สวรรคาลัย
สวีเดนจัดพิธีถวายพระเกียรติยศ ร.9
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม ได้ออกประกาศลงวันที่ 22 ต.ค.2560 เรื่อง พิธีอัญเชิญพระราชลัญจกร พิเศษ (ตราพระครุฑพ่าห์) เพื่อถวายพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จากพระราชวังกรุงสตอกโฮล์ม ไปโบสถ์รีดดาร์โฮล์ม กรุงสตอกโฮล์ม ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยในประกาศระบุว่า ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้รับการถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราเซราฟีม (The Order of the Seraphim) ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของสวีเดน เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2493 โดยสำนักพระราชวังสวีเดนได้จัดทำพระราชลัญจกรพิเศษสำหรับพระประมุขที่ได้รับการถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าว และเมื่อพระประมุขสวรรคต สำนักพระราชวังสวีเดนจะจัดพิธีอัญเชิญพระราชลัญจกรพิเศษไปโบสถ์รีดดาร์โฮล์ม ในวันเดียวกับที่มีพระราชพิธีพระบรมศพในประเทศนั้นๆ อันเป็นประเพณีสืบต่อมาตั้งแต่ พ.ศ.2291
ทั้งนี้ โดยที่จะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 สำนักพระราชวังสวีเดนจะจัดพิธีอัญเชิญพระราชลัญจกรพิเศษ (ตราพระครุฑพ่าห์) เพื่อถวายพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพิตร เวลา 11.55 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยกองทหารเกียรติยศจะอัญเชิญพระราชลัญจกรพิเศษจากพระราชวังกรุงสตอกโฮล์มไปโบสถ์รีดดาร์โฮล์ม และในระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. จะมีพิธีตีระฆังแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราเซราฟีม เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม ขอเชิญชวนชาวไทยในสวีเดนและครอบครัวร่วมพิธีอัญเชิญพระราชลัญจกรพิเศษ จากพระราชวังกรุงสตอกโฮล์มไปโบสถ์รีดดาร์โฮล์ม ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยขอให้ท่านที่จะร่วมพิธีไปถึงจัตุรัสหน้าประตูพระราชวังด้านทิศตะวันตก เวลา 11.30 น. และเมื่อเสร็จพิธีดังกล่าว ขอเชิญร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ที่สถานเอกอัคร-ราชทูตฯ ระหว่างเวลา 13.30-17.00 น.