นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์

โฆษกพรรคเพื่อไทย ซัด ป.ป.ช. สองมาตรฐาน หวังยื้อเวลาช่วยรัฐบาล คดีเอสเอ็มเอส...

วันที่ 16 ก.ค. 2553 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้สอบสวนคดีเอสเอ็มเอสเพิ่มเติม ว่า น่าจะมีนัยทางการเมืองแอบแฝง ส่อให้เห็นบรรทัดฐานขององค์กรอิสระ เนื่องจาก คดีนี้น่าจะชี้ขาดไปนานแล้ว แต่กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาเป็นปี วันนี้ยังมีการเรียกสอบเพิ่มเติมอีก มาตรฐานขององค์กรอิสระแบบนี้กำลังถูกจับตาอย่างมากจากวงการนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ความจริงหลักฐานทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว ถ้าหาก ป.ป.ช.ชี้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ทำผิดก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ฉะนั้นจึงมีความพยายามที่จะยื้อเวลาต่อไปอีกหรือไม่ กำลังช่วยเหลือรัฐบาลอยู่หรือไม่ เราต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

กรณีนี้แตกต่างจากคดีของอดีต 2 นายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชนชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคดีทำอาหารของนายสมัคร สุนทรเวช คดีเขาพระวิหารของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ทำกันแบบรวดเร็วฉับไว รวมทั้งคดีที่ให้กระทรวงการคลังดูแผนฟื้นฟูทีพีไอ ที่ชี้มูล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯโดยไม่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม จึงอยากให้ประชาชนลองพิจารณาดูว่านี่คือ 2 มาตรฐานหรือไม่

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ว่า คดียุบพรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง จะต้องจับตาดูถึงการบังคับใช้กฎหมาย ว่าจะเกิด 2 มาตรฐานหรือไม่ หลังจากที่พรรคการเมืองใหญ่อื่นๆ โดนยุบพรรคไปเกือบหมดแล้ว ส่วนตัวคิดว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปจริง ก็ถึงเวลาที่จะต้องมาทบทวนว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรค สมควรนำมาปรับปรุงแก้ไขได้หรือยัง เพราะการยุบพรรคเกิดขึ้นง่ายดายเหลือเกิน ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ นี่คือสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องทบทวน สิ่งที่ตัวเองเคยเห็นดีเห็นงามแต่สุดท้ายต้องโดนเข้ากับตัวเองเหมือนกัน วันนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเร่งหาทีมกฎหมายมาต่อสู้ ทั้งยังมีการไปหาพรรคสำรองไว้ แต่ฉากหน้ายังคงออกมาปฏิเสธรักษาหน้าตัวเอง เรียกว่าปากกล้าแต่ขาสั่น ความจริงไม่ใช่เรื่องน่าอาย หรือควรปกปิดอะไรเลย การไปตั้งพรรคสำรองไม่ใช่เรื่องเสียหาย สมัยที่พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ ก็มีการตั้งพรรคเพื่อไทยสำรองไว้เหมือนกัน

...