เมื่อ 2 วันก่อนมีข่าวที่อ่านแล้วชวนยิ้มอยู่ข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเล็กๆ ประดับหน้าเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ พร้อมกับพาดหัวแถวเดียวมีใจความว่า “ชวนกันกินไข่รับวันไข่โลก”
จากนั้นก็รายงานว่า “วันไข่โลก” ปีนี้ (2559 หรือ 2016) ตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่ ตลอดจนสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ ฯลฯ ได้พร้อมใจกันจัดงานขึ้นทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้คนไทยหันมาบริโภคไข่ไก่เพิ่มมากขึ้น
ภายใต้แนวความคิดและคำขวัญที่ว่า “กินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย กินอะไรใส่ไข่ด้วย” เพื่อให้คนไทยได้เข้าใจอย่างถูกต้องถึงประโยชน์ของไข่ และมั่นใจในการกินไข่มากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทั้งนี้จะได้มีการร่วมมือกับหอการค้าจังหวัดและสถาบันราชภัฏหลายๆแห่ง จัดกิจกรรมขึ้นพร้อมกับส่วนกลาง ซึ่งจะมีงานใหญ่ที่ศูนย์การค้า ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ปทุมธานี
ผมอ่านข่าวแล้วก็เกิดความสนใจ และเห็นว่าข่าวนี้ไม่ใช่เล็กๆเลย แท้ที่จริงแล้วเป็นข่าวใหญ่พอสมควร เนื่องจาก “ไข่” เป็นอาหารหลักของมนุษย์ทั่วโลก
ของไทยเราก็มีทั้งไข่เจียวและไข่ดาว รวมไปถึงไข่หวาน และทองหยิบ ฝอยทองต่างๆ โดยเฉพาะ “ไข่เจียว” แบบไทยๆนั้น ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ถือเป็นอาหารเอกลักษณ์ประจำชาติไทยโดยแท้
อ่านข่าวนี้แล้วจึงรีบไปค้นคว้าต่อทันที เพื่อให้ทราบว่า “วันไข่โลก” มีที่มาที่ไปอย่างไร? ใครเป็นต้นคิด? และเขาจัดงานกันทั่วโลกจริงหรือ?
ได้รับคำตอบว่า “วันไข่โลก” มีมาหลายปีแล้ว โดยเริ่มจัดครั้งแรกหลังการประชุมใหญ่ของคณะกรรมาธิการไข่นานาชาติ ที่กรุงเวียนนา เมื่อปี 1996 หรือ พ.ศ.2539 ครบ 20 ปีพอดีในปีนี้
...
ที่ประชุมกำหนดให้วันศุกร์ที่สองของเดือนตุลาคมในแต่ละปี เป็น “วันไข่โลก” ดังนั้น สำหรับปีนี้ 2559 หรือ 2016 วันศุกร์ที่สองของ
เดือนตุลาคม ได้แก่วันที่ 14 ตุลาคม อีก 2 วันข้างหน้า จึงได้มีการจัดงานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเราเท่านั้น
ตามนัยแห่งประวัติศาสตร์นั้น กล่าวกันว่า ได้มีการกำหนดให้มี “วันไข่” หรือวันเฉลิมฉลองไข่มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ จากหลักฐานที่ค้นได้ในยุคอาณาจักรโรมัน
มีคำเรียกในยุคโน้นว่า “Holy Roman Day of Eggs” หรืองานฉลองไข่อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีการฉลองติดต่อกันถึง 500 ปีก่อนจะสูญหายไป
ต่อมาในยุคหลังๆ เริ่มมีหลายๆประเทศที่หันมาจัดงานเฉลิมฉลองไข่กันขึ้นอีก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากำหนดให้วันที่ 3 มิถุนายน เป็นวันไข่แห่งชาติ จะมีการจัดงานส่งเสริมกินไข่ในหลายๆรัฐ
จนกระทั่ง ค.ศ.1964 หรือปี 2507 ได้มีการประชุมเกี่ยวกับไข่นานาชาติที่เมืองโบโลญญา ประเทศอิตาลี และมีมติให้ตั้ง “คณะกรรมาธิการไข่นานาชาติ” หรือ International Egg Commission ขึ้นอย่างเป็นทางการ มีบอร์ดบริหารรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ โดยมีสมาชิกทั่วโลกถึงกว่า 80 ประเทศ
คณะกรรมาธิการไข่โลกที่ว่านี้แหละครับ ที่ไปประชุมที่เวียนนา แล้วกำหนดให้มีวันไข่โลกทุกๆวันศุกร์ที่สองของเดือนตุลาคมดังกล่าว
สรุป “วันไข่โลก” เป็นของจริงและมีจริงๆ เพื่อโปรโมตการรับประทานไข่ ซึ่งคณะกรรมาธิการไข่โลกที่ว่านี้ ยืนยันว่าไข่เป็นสุดยอดของอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าสารพัดประโยชน์ รวมแล้วถึง 10 ประการ อาทิ ทำให้ร่างกายแข็งแรงและบำรุงสมอง ฯลฯ เป็นต้น
แต่ก็มียุคหนึ่งที่วงการแพทย์ออกมาห้ามรับประทานไข่ โดยกล่าวหาว่า ไข่มีคอเลสเทอรอลสูง ห้ามรับประทานไข่เกินเท่านั้นเท่านี้ฟองใน 1 สัปดาห์
ทำให้คนทั้งโลกกลัวไข่และจำกัดการรับประทานไข่ลงเป็นอันมาก
จนกระทั่งระยะหลังๆ จึงมีงานวิจัยออกมาว่ากินไข่ได้ และเริ่มมีการรณรงค์ให้หันกลับมากินไข่กันอีกครั้งหนึ่ง
ผมแม้จะเห็นด้วยและยินดีช่วยรณรงค์ในวันนี้ แต่ประสาคนที่เชื่อในทฤษฎีทาง “สายกลาง” ของพระพุทธเจ้า...คงก็ขออนุญาตแนะนำว่าให้เดินสายกลางไว้ดีที่สุดคือ ให้กินแต่พอดี กินแต่พอควรกันเถิด
อย่าให้ถึงขนาด “กินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย กินอะไรใส่ไข่ด้วย” อย่างคำขวัญการจัดงานวันไข่โลกปีนี้ของประเทศไทยเลยครับ
ไข่อาจไม่เป็นเหตุให้เกิด “คอเลสเทอรอล” ก็จริง แต่อาจเกิด “คอเลสเทอเลี่ยน” ขึ้นมาได้...คืออาจจะมีอาการ “เลี่ยน” ไข่ไปซะก่อน
ถึงขนาดกินไข่ทุกวัน และกินอะไรใส่ไข่ดะเนี่ย ระวังจะเป็นโรคเบื่อไข่ ไม่อยากกินไข่เอานะครับท่านรัฐมนตรี.
“ซูม”