หมู่นี้ผมมักจะพาดหัวคอลัมน์ด้วยการใส่เครื่องหมายคำถามอยู่เสมอ...เหตุเพราะได้เกิดศัพท์ใหม่ๆ คำพูดใหม่ๆขึ้นมากมายในบ้านเรา ซึ่งบางคำบางศัพท์ผมก็พอรู้อยู่บ้าง แต่หลังๆชักมีหลายศัพท์ที่ผมเองก็ไม่รู้

จึงต้องขึ้นต้นด้วยการใส่เครื่องหมายคำถาม เพื่อที่จะไปค้นหาคำตอบมาตอบคำถามเหล่านั้น ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะมีผู้อ่านอีกหลายๆท่านที่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นกัน

ดังเช่นคำว่า Start up หรือบริษัทเกิดใหม่ อนาคตไกล ระดับ “ลูกเทวดา” ที่อาจมีโอกาสร่ำรวย หรือเจริญก้าวหน้าเป็นร้อยเท่าพันเท่าที่ผมเขียนถึงเมื่อวันก่อน

ล่าสุดนี่ก็คำว่า “ประเทศไทย 4.0” อีกแล้วครับ มีการพูดกันเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะท่านผู้นำรัฐบาล...อันนี้ผมพอรู้แต่ก็อดหวั่นใจมิได้ว่าท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยที่อาจไม่รู้

ผมต้องขอบคุณหน้าข่าวเศรษฐกิจของไทยรัฐคนกันเองนี่แหละครับ ที่ไปสัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ มาลงไว้อย่างละเอียด 1 หน้าเต็มๆ เมื่อวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ท่านอธิบายเอาไว้อย่างง่ายๆอ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บ ผมอ่านแล้วก็ตัดแปะไว้ที่หน้าโต๊ะเลย เพื่อจะอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกสัก 4-5 วัน จนกระทั่งขึ้นใจและเข้าใจดีแล้วค่อยเก็บเข้าแฟ้ม

หากท่านผู้อ่านที่ยังมิได้นำหนังสือพิมพ์ฉบับที่ว่าไปชั่งกิโลขาย ผมก็ขอแนะนำให้รีบไปค้นมาตัดเก็บไว้เช่นเดียวกันครับ

ดร.สุวิทย์สรุปว่า โมเดลการพัฒนาประเทศไทย 1.0 คือการเน้นภาคเกษตร พอมา 2.0 เริ่มเน้นอุตสาหกรรมเบา และพอถึง 3.0 คือช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ก็คือการเน้นอุตสาหกรรมหนัก และการส่งออก

แต่ทั้ง 3 รหัส ตั้งแต่ 1.0, 2.0 จนถึง 3.0 ไม่พอเพียงเสียแล้ว เพราะประเทศไทยต้องเผชิญกับดักจนติดหล่มอยู่ในกลุ่มประเทศ “รายได้ปานกลางขั้นสูง” ไม่สามารถทะลุผ่านออกมาได้

...

จึงต้องมีโมเดล หรือรหัสใหม่ “ประเทศไทย 4.0” คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”

ได้แก่ 1. เปลี่ยนจากการผลักดันสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม 2. เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์

สุดท้าย หรือ 3 . เปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้าไปสู่การเน้น ภาคบริการมากขึ้น

จากนั้นท่านก็ว่าถึงรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร? เทคโนโลยีระบบใหม่ ที่ต้องการคืออะไร? การวิจัยอะไรบ้างที่ควรเริ่มต้น? ซึ่งผมคงต้องทิ้งไว้เป็นภาระให้ท่านผู้อ่านไปอ่านกันเอง

ผมเป็นคนชอบฝันและเอาใจช่วยนักฝันอยู่เสมอ เพราะมีความเชื่อว่าการวาดฝันไว้บ้างแล้วพยายามเดินไปสู่ความฝันนั้นๆ อย่างน้อยก็จะทำให้เราเดินไปข้างหน้าไม่มากก็น้อย แม้จะไปไม่ถึงความฝันก็ตาม

ในยุคยังหนุ่มแน่นที่เคยทำงานอยู่ในสำนักวางแผนพัฒนาประเทศ ผมอาจฝันไม่เก่งนัก แต่โชคดีที่เจ้านายหรือผู้ใหญ่ของผมยุคโน้น เช่น ดร.เสนาะ อูนากูล คุณโมสิค ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ คุณสถาพร กวิตานนท์ ท่านฝันเก่ง และฝันจะนำประเทศไทยเข้าสู่โมเดล 3.0 ที่ว่านี่แหละ

ผมในฐานะลูกมือท่านกับเพื่อนๆ ในสภาพัฒน์กลุ่มใหญ่ได้ออกไปช่วยกันสานฝัน โดยประสานกับภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเทศเต็มเหนี่ยวในที่สุดก็ได้มาอย่างที่เห็นๆคือทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง แต่ก็หยุดอยู่แค่นี้เอง

ฝันที่จะไปสู่ 4.0 ของท่านสุวิทย์ดูยิ่งใหญ่กว่าเยอะ ซึ่งผมเห็นด้วยพันเปอร์เซ็นต์ว่าต้องฝันแบบนี้แหละ จึงจะหลุดกับดักไปได้

แต่ด้วยประสบการณ์ผมยังไม่มั่นใจว่าภาคราชการจะมีบุคลากรพอที่จะช่วยสานฝันของท่านได้หรือไม่ รวมทั้งภาคเอกชนซึ่งผมเชื่อว่าเก่งกว่ายุคก่อนมาก แต่เอกชนก็ยังเป็นเอกชน เพราะเขาต้องแข่งขันกันจะให้รวมเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่ท่านเรียกว่าประชารัฐคงไม่ง่ายนัก

ขอเอาใจช่วยท่านและขอร่วมฝันไปกับท่าน...ประสาคนแก่ที่ยังพอมีเรียวแรงเขียนหนังสือ...ทำเองไม่ไหวแล้ว แต่เขียนให้กำลังใจอย่างนี้ยังพอไหวอยู่ครับ...ขอให้โชคดีและไปถึงฝัน “Thailand 4.0” ได้ในเร็วๆนี้นะครับท่านรัฐมนตรี.

ซูม