"จาตุรนต์" วอน เปิดทาง ปชช.ลงประชามติอย่างเสรี อย่ามัดมือชก แนะ ให้พ่วงคำถามเดียวไม่พอ ต้องเปิดทางมีทางเลือก เผยแนวทางหาก ร่าง รธน.ไม่ผ่าน เลือกทางไหน อัด กำหนดบทลงโทษปลุกปั่นหนักเกิน ปิดกั้นเสรีภาพรุนแรง

วันที่ 20 มี.ค. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้ มีการเสนอให้การกำหนดประเด็นคำถามพ่วงได้กับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เช่น เสนอให้นำประเด็นเรื่องบทเฉพาะกาล ประเด็น ส.ว.สรรหา ถามประชาชน คิดว่า ประเด็นที่ควรถามประชาชนในการทำประชามติ ควรเป็นประเด็นใหญ่ๆ และสำคัญมากๆ ซึ่งถ้าจะทำจริงๆ จะเป็นประโยชน์

ประเด็นที่ควรจะถาม อันแรกที่แน่นอน คือ เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ควรมีคำถามพ่วงว่า เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาลหรือไม่ ถ้าต้องการถาม เรื่อง ส.ว.สรรหา ควรจะถามว่า ส.ว.ควรมาจากการแต่งตั้ง หรือ เลือกตั้ง และเรื่องที่ยังขาดอยู่ควรต้องถาม คือ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบ จะให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว หรือไม่ และภายใต้กติการัฐธรรมนูญฉบับใด อีกข้อ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน จะให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ โดย คสช.ยกร่างเอง หรือ ให้ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ หรือ จะให้ประชาชนเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมาร่าง

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ประเด็นเหล่านี้ ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเลย ซึ่งทำให้การลงประชามติที่มีขึ้น มันเป็นการลงประชามติที่ประชาชนไม่มีทางเลือก เหมือนกับเป็นการมัดมือชก ถ้าไม่ผ่านอาจได้รัฐธรรมนูญที่เลวร้ายกว่าเดิม ซึ่งมันคล้ายกับการลงประชามติในปี 2549 แต่การลงประชามติครั้งนี้ ย่ิงมีความไม่เสรี และไม่เป็นธรรม ย่ิงกว่านั้นไปอีกมาก เพราะว่า ยังคงใช้มาตรา 44 จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย นอกจากนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังเปลี่ยนร่างกฎหมายทำประชามติ ในลักษณะที่ไปปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย กฎหมายนี้ ถ้าออกมาตามแนวที่มีการชี้แจง จะมีผลอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีการเร่ิมดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย เพียงไม่กี่คน ก็จะทำให้เกิดความหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะกำหนดบทลงโทษหนัก สำหรับการบิดเบือน หรือ การปลุกระดม หรือการจูงใจให้มีการออกเสียงไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งแน่นอนถ้าจูงใจพูดในทางสนับสนุนก็จะไม่มีความผิดใดๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ถ้าไม่เห็นด้วย จะถูกลงโทษจำคุก 10 ปี บวกความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีก 5 ปี อย่างนี้มันเป็นการปิดกั้นเสรีภาพอย่างร้ายแรง

...

และเวลานี้ เท่าที่ฟังเสียงประชาชนสอบถาม มีคนไม่น้อยไม่แน่ใจว่า จะมีการลงประชามติจริงหรือไม่ เพราะดูจากเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างมาก ทำให้เดิมสงสัยว่า หากร่างเพื่อให้ล้มไปในขั้นการทำประชามติ แล้วจะได้ร่างใหม่ แต่ดูท่าทีของผู้นำ คสช.แล้ว ดำรงความมุ่งหมายอย่างชัดเจน ในการที่ให้ได้รัฐธรรมนูญอย่างที่ตัวเองต้องการ ฉะนั้น เลยทำให้คนคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าให้ลงประชามติอย่างเสรี และยุติธรรม ก็คงจะไม่ผ่าน ซึ่งถ้า คสช. ต้องการให้ใช้รัฐธรรมนูญแบบนี้จริงๆ ก็อาจจะให้ไม่มีการลงประชามติ ดังนั้น ไม่ว่าจะไม่ให้มีการลงประชามติ หรือ ให้ลงประชามติ แต่ไม่เสรี ยุติธรรม ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านไปได้ จะเป็นการสะสมปัญหารอวันขัดแย้ง และเมื่อความไม่พอใจปะทุขึ้นมาในอนาคต กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศได้ เวลานี้ ตั้งคำถามเดียวมันไม่พอ มันจะทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาใหญๆได้ เนื่องจากการลงประชามติ มันทำโดยเงื่อนไขกติกาที่ไม่สมบูรณ์ ให้ลงประชามติแค่ให้ผ่านหรือไม่ผ่าน โดยประชาชนไม่มีทางเลือก ซึ่งการทำประชามติที่ดี ต้องให้ประชาชนมีทางเลือกด้วย ที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจได้ แต่ที่เป็นอยู่นี้ เหมือนกับให้ประชาชนเลือกว่า จะเอาอย่างที่ กรธ.ทำตามคสช.แล้วหรือจะเอาอย่างที่ คสช.ทำเอง มันอาจเป็นการให้เลือกระหว่างสิ่งที่ไม่ชอบ กับส่ิงที่ประชาชนรังเกียจ เท่านั้น ดังนั้น การเพิ่มประเด็นคำถามควรเป็นทางออกที่ดีกว่า

เมื่อถามว่า มองว่าเวลานี้ กรธ.อึดอัดใจหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เข้าใจว่า กรรมการ กรธ.หลายคนอึดอัด ดูจากหนังสือที่ คสช.ส่งมา หรือจากที่ผู้นำ คสช.แต่ละคนแสดงความคิดเห็นมาในช่วงหลัง มันแสดงให้เห็นว่า คสช.ได้คิดเรื่องข้อเสนอมาอย่างละเอียด ชัดเจน ย่ิงพูดถึงเรื่องแบ่ง ส.ว.เป็น 6 กลุ่ม แสดงว่า เขาคิดกันไว้หมดแล้ว เมื่อรอมาประติดประต่อกัน มันเป็นวิธีการทำให้ คสช.สามารถมีอำนาจต่อไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากผู้นำ คสช.จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุเดียว เขาไม่ต้องการจะเป็น หรือต้องการหาคนอื่นมาเป็นแทน หมายความว่า ถ้าจะเป็นเองก็ง่ายนิดเดียว เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะแปลกใจ กรธ.จะอึดอัด ถ้าร่างรัฐธรรมนูญมีเนื้อหาออกมาแบบนี้ มันไม่ใช่การคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนเลย แต่นำไปสู่ปัญหาอย่างมากในอนาคต

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า แม้กรรมการ กรธ.จะอึดอัด แต่ไม่มีใครรู้ว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการ กรธ.อึดอัดจริง หรือไม่จริง เพราะดูจากประวัติความเป็นมา จนถึงปัจจุบันถ้าคิดแทนประธาน เราไม่สามารถพูดแทนได้ว่า คิดอย่างไร เนื่องจากตัวประธานเคยมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2521 และยังเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญในปี 34 ซึ่งล้วนแต่เปิดทางให้คนนอก โดยเฉพาะคนนอกที่มีอำนาจทางกองทัพ เป็นนายกฯ ในลักษณะสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารมาก่อน แต่ในอดีตนั้น ท่านประธานเคยได้รับประโยชน์อย่างมาก หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ โดยเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญปี 2521 บังคับใช้ แต่ว่ามาในขณะนี้ ประธานก็อายุมากแล้ว ยังนึกไม่ออกว่า ร่างรัฐธรรมนูญตามความเห็น คสช.อะไรมากๆ อย่างไร ถ้าประธาน กรธ.คำนึงถึงชื่อเสียง ประวัติบั้นปลายชีวิต ก็แน่นอนต้องคิดต่าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มีทางออกน้อยมาก หลังจากดูหนังสือคำสั่ง คสช.กับฟังคำพูดผู้นำคนสำคัญคสช.แล้ว กรรมการ กรธ.จะทำให้แตกต่างไปคงยากมาก.