ลงเรือแป๊ะต้องตามใจแป๊ะ
ถึงจุดที่ต้องพิสูจน์วาทกรรมอันล้ำลึกของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดก็ย้ำกันเป็นรอบที่สี่รอบที่ห้า บุคคลระดับแกนนำอำนาจพิเศษส่งสัญญาณชัดแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
ในช่วงเปลี่ยนผ่านขอให้เป็นไปตามที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ในฐานะผู้กุมอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” คิดพิมพ์เขียวส่งให้ 21 อรหันต์ทองคำ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ย้ำกันชัดๆถึงความเป็น “ต้นขั้ว” อำนาจพิเศษ
และตามแนวโน้มสถานการณ์ก็เหมือนเสียงจะอ่อยลงเรื่อยๆ
จับทางจากที่นายวิษณุแจกแจงปมที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องส่งคนไปเคลียร์ใจกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ให้เข้าใจอารมณ์แบบทหารที่พูดกันแบบตรงๆไม่มีลีลา
เพราะจริงๆเลย สัญญาณคลื่นความถี่สูงที่ส่งจากรัฐบาล คสช.และแม่น้ำ 4 สายไปถึง 21 อรหันต์ทองคำ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในปมว่าด้วยเงื่อนไขการคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี
ไม่ได้เน้นเฉพาะไปที่ “ซือแป๋” อย่างนายมีชัย
แต่ต้องการกระตุกทีม 21 อรหันต์ทองคำให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ฝืนพิมพ์เขียวของรัฏฐาธิปัตย์
ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าขัดไม่ได้ เพราะสุดท้ายอำนาจทุบโต๊ะก็อยู่ที่ต้นขั้ว คสช.
นั่นก็เลยทำได้แค่ออกตัว แบบที่นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ออกตัวตีกรรเชียงเป็นนัยอยากให้นายมีชัยเป็นคนแถลงปมร้อนตามข้อเสนอ คสช.ด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากโดนด่า
ยังอยากมีที่ยืนในสังคม กลับไปทำงานเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขณะที่นายเธียรชัย ณ นคร กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยอมรับ ถ้ามีการปรับแก้ตามใบสั่ง คสช.ก็ต้องมีผลกับการทำประชามติอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนนายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกคณะกรรมการยกร่างฯอีกคน ก็ยังออกอาการยักท่า พร้อมรับข้อเสนอ คสช.
...
มาพิจารณา แต่อาจจัดให้ไม่ได้ทั้งหมด
พร้อมตามใจแป๊ะ แต่ขอเว้นไว้เป็นที่เข้าใจว่า “ไม่รับบาป” ด้วยว่างั้นเถอะ
ตามรูปการณ์แค่สะดุด แต่สุดท้ายแม่น้ำ 5 สายก็ต้องไหลไปในทิศทางเดียวกัน ในเมื่อมาจากต้นแม่น้ำ คสช.เหมือนกัน
ที่สำคัญก่อนตัดสินใจลงเรือแป๊ะทุกคนก็ต้องรู้อยู่แก่ใจดีว่า
เรือเที่ยวนี้ไม่ใช่จะต่างคนต่างพายได้ตามอำเภอใจ
สรุปฟันธงได้ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องเป็นไปตามพิมพ์เขียวกัปตันเรือแป๊ะ วางเกมให้ท็อปบูตลากอำนาจประคองเกมบนหลังเสืออีกอย่างน้อย 5 ปี
และมาถึงตรงนี้ ตามสถานการณ์ที่เห็นได้เลยว่ารัฐบาลทหารออกแรงเข็นเต็มที่
ลุ้นฝ่าด่านประชามติให้ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาใหญ่จริงๆไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายต้าน มันสำคัญตรงจุดเสี่ยงในปัจจัยที่คุมไม่ได้
ตามปรากฏการณ์แบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯกัปตันทีมเศรษฐกิจ ยืนยันชัดถ้อยชัดคำ รัฐบาลทหาร คสช.ไม่หนุนสินค้าเกษตร ทั้งข้าว ยางพารา ฯลฯ โดยมุ่งเน้นให้ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ยืนได้ด้วยขาตัวเอง
เป็นปมให้ฝ่ายต่อต้านนำไปเป็นหัวเชื้อปลุกเร้าไฟเปรียบเทียบระหว่างทหารกับรัฐบาลเลือกตั้ง
อีกทั้งในท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่นายสมคิดเองก็ยอมรับสภาพว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในอาการซึมยาวไปอีกอย่างต่ำ 2 ปี ถึงนาทีนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาปากท้องลามถึงคอหอยประชาชน
ภาวะคนตกงานกำลังเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทั้งหมดทั้งปวง โดยสถานการณ์ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัว กระตุกต่อมแหยงของประชาชน โดยเฉพาะคนระดับกลางไปถึงระดับล่างให้ผวา “อดตาย”
แรงต่อต้านท็อปบูต เสียงเร้าให้คืนอำนาจรัฐบาลเลือกตั้งนับวันมีแต่จะทวีความเข้มข้นขึ้น
นี่แหละโจทย์ “ปราบเซียน” ของทหาร.
ทีมข่าวการเมือง