กมธ.กฎหมาย สภาฯ รุมซักต้อนรองอธิบดีกรมป่าไม้-รองอธิบดีอัยการเขต 3 กรณีที่ดินเขายายเที่ยง อัยการรับไม่ได้ลงไปดูพื้นที่จริงดูแค่สำนวนพนักงานสอบสวน "สุทัศน์" จวกทำงานบกพร่อง "ประชา" เล็งเข้าพบ "เปรม" รายงาน..

ที่รัฐสภา เวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. มีการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร มีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานฯ เพื่อพิจารณากรณีการบุกรุกถือครองที่ดินบริเวณเขายายเที่ยง โดยเชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อาทิ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อัยการสูงสุด นายอำเภอสีคิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รวมถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และชาวบ้านที่ถือครองที่ดินบริเวณดังกล่าว

โดย พล.อ.สุรยุทธ์ มีหนังสือแจ้งว่าติดภารกิจสำคัญไม่สามารถมาชี้แจงได้ และเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม หากคณะกรรมาธิการฯต้องการข้อมูล สามารถขอได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ขณะที่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ไม่มาและไม่ได้ส่งตัวแทนมาชี้แจง ทำให้นายประชา ไม่พอใจ กล่าวว่า เรื่องนี้สำคัญเป็นที่ดินของชาติบ้านเมือง นายกรัฐมนตรีได้ออกกฎเหล็ก 9 ข้อ ระบุถึงการให้ความสำคัญในการมาชี้แจงต่อสภาฯและคณะกรรมาธิการ ดังนั้นจะทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้จัดการเรื่องนี้

จากนั้นนายประชา กล่าวว่า เรื่องนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เคยศึกษาและได้ผลสรุปว่า นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และ พล.อ.สุรยุทธ์ เข้าข่ายผิดกฎหมายแต่เมื่ออัยการจังหวัดสีคิ้วมีคำสั่งไม่ฟ้องทำให้เกิดความเคลือบแคลง ในขณะที่ราษฎร 3-4 ราย กลับถูกศาลดำเนินคดีทั้งที่พื้นที่แทบจะอยู่ติดกัน และเป็นกรณีแบบเดียวกัน

ขณะที่นายสุทัศน์ เงินหมื่น กรรมาธิการฯจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ดินที่เปลี่ยนมือจากนายเบ้า มาเป็นนายนพดล พิทักษ์วาณิชย์ มาเป็นของ พ.อ.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์ จนมาเป็นของภรรยา  พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่มีระเบียบใดเลยที่อนุญาตให้สืบทอด แต่ทำไมราษฎร 3-4 ราย กรณีใกล้เคียงกันถึงโดนศาลตัดสิน สงสัยว่าทำไมอัยการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องกรณี พล.อ.สุรยุทธ์ โดยให้เหตุผลว่าขาดเจตนา เพราะถ้าเป็นชาวบ้านไม่เข้าใจกฎหมาย ก็พอฟังได้ แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่น่าจะรู้กฎหมาย และยังมีประเด็นที่ดินงอกเพิ่มจาก 15 ไร่ เป็น 22 ไร่ โดย 7 ไร่ที่เพิ่มขึ้นตรงนี้จากนายสวัสดิ์ ท้าวธงชัย ที่เข้าใจว่า เป็นลูกเขยนายเบ้า แต่ภายหลังพื้นที่เพิ่มเป็น 30 ไร่ ซึ่ง 8 ไร่ที่งอกครั้งหลังสุดไม่มีที่มาที่ไป ตรงนี้ทำไมอัยการไม่สอบเพิ่ม แต่กลับส่งฟ้องแค่ 21 ไร่ และกรมป่าไม้ ทำไมไม่ไปสำรวจพื้นที่ก่อนฟ้องร้องดำเนินคดี แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ และภรรยา ให้การว่าอย่างไร

นายมานิต จิตต์จันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ ซักถามว่า คดีนี้หากไม่มีหลักฐานใหม่ คำสั่งอัยการถือเป็นที่สุด แต่จะเป็นที่สุดได้เมื่อคำสั่งชอบ กรณีนี้ก่อนอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ได้ไปดูพื้นที่จริงหรือไม่ ถ้าไม่ไปสั่งคดีอย่างนั้นได้อย่างไร

ด้านนายชลธิศ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมป่าไม้ ตัวแทนอธิบดีกรมป่าไม้ ชี้แจงว่า พื้นที่แปลงของ พล.อ.สุรยุทธ์ รวมถึงบริเวณเขายายเที่ยง ตามมติ ครม.ปี 2518 บุคคลที่จะรับการจัดสรรต้องเป็นเกษตรกร และให้สิทธิการทำประโยชน์ ไม่ใช่สิทธิการเป็นเจ้าของ กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ ครอบครองด้วยสิทธิใด ยังตอบไม่ได้ต้องขอดูรายละเอียดที่อัยการสั่งไม่ฟ้องก่อน และต้องย้อนดูระเบียบตั้งแต่แรกสุดว่า ที่ดินหมู่บ้านป่าไม้จัดให้รายไหนเพราะเหตุใดด้วย ส่วนราษฎร 3-4 ราย ต้องไปดูก่อนว่าอยู่ในหมู่บ้านป่าไม้หรือไม่ แต่เบื้องต้นทราบว่าถูกดำเนินคดีเพราะอยู่ในเขตป่าสงวนฯ ส่วนขอบเขตหมุดพื้นที่ของ พล.อ.สรยุทธ์ จะแค่ไหน ตนยังไม่ทราบ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของกรมป่าไม้ ต้องกลับไปดูว่ามีการเปลี่ยนมืออย่างไร มีที่ดินงอกขึ้นมาหรือเป็นแปลงเดียวกับของนายเบ้า โดยจะไปตรวจสอบพิกัดปัจจุบันเทียบกับของอดีต ด้วยระบบจีพีเอส

ส่วนแนวโน้มว่าต้องคืนที่ดินดังกล่าวหรือไม่นั้น ต้องรอผลสอบข้อเท็จจริงใน 60 วันก่อน อย่างไรก็ตาม หากมีความเห็นแตกต่างและมีหลักฐานเพิ่มเติม ก็ชอบที่จะรื้อคดีขึ้นมาดำเนินการฟ้องอีกครั้งได้ ซึ่งจะตรวจสอบทั้งหมด 401 ราย โดยรายแรกคือกรณี พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งจะประชุมคณะกรรมการในวันที่ 14 ม.ค. ซึ่งนายประชา ตั้งข้อสังเกตว่า พิกัดที่ดินเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าไม่ใช่พิกัดเดียวกับของนายเบ้า ก็ฟ้องได้ จึงสงสัยว่า ทำไมไม่ใช้จีพีเอสตั้งแต่แรก จึงไม่ปรากฏในสำนวนของอัยการเลย ทำไมอธิบดีไม่ปกป้อง แปลงของนายเบ้า และ พล.อ.สุรยุทธ์ เอาอะไรมายืนยันว่า เป็นแปลงเดียวกัน

ด้านนายอิทธิพร แสงประดับ รองอธิบดีอัยการเขต 3 ชี้แจงว่า กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ ซื้อขายสิทธิการครอบครองแทนนายเบ้า ถือเป็นการครอบครองผิดเงื่อนไขมติ ครม. ที่ไม่ให้ตกทอดแก่บุคคลอื่น แต่ไม่ได้เป็นการบุกรุก อัยการไม่สั่งฟ้อง ส่งไปผู้ว่าฯ  ก็เห็นชอบที่ไม่ฟ้อง แต่กรณีของราษฎรบางรายไม่ได้เป็นหมู่บ้านป่าไม้ และยังมีการไปปรับปรุงพื้นที่เป็นบ้านสวน ถือว่ารุกป่า ส่วนกรณีอื่นถ้าอยู่ในหมู่บ้านป่าไม้ ก็ต้องสั่งไม่ฟ้องเหมือนกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ตัวแทนฝ่ายอัยการชี้แจง ทำให้กรรมาธิการฯส่วนใหญ่ไม่พอใจ โดยนายประชา กล่าวว่า สิทธิทำประโยชน์กับสิทธิการครอบครอง เป็นคนละเรื่อง เรื่องนี้น่าสงสัยมาก ว่าทำไมอัยการถึงรีบสั่งไม่ฟ้อง และยังเป็นคำสั่งเด็ดขาด ทำไมไม่เปิดโอกาสให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่โดนโจมตีจากคนเสื้อแดง และคนสงสัยทั่วประเทศ ได้พิสูจน์ในศาล เชื่อว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เป็นชายชาติทหาร เป็นอดีต ผบ.ทบ. และเป็นเรื่องที่กระทบสถาบันองคมนตรี ต้องการพิสูจน์ตัวเอง การรีบร้อนไม่ฟ้อง ไม่รู้ว่ากลัวอะไรหรือไม่ หรือเห็นว่าคดีนี้เกี่ยวกับยศ พล.อ. แต่เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี จึงเห็นความไม่เป็นมาตรฐาน ดังนั้นตนจะขอเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อรายงานพฤติกรรม อัยการจังหวัดและอัยการเขต 3 ทั้งหมด รวมถึงจะขอเข้าพบ รมว.ทรัพยากรฯ และนายกฯ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ฝ่ายราชการกลับไม่รู้เรื่อง

ขณะเดียวกัน นายอิทธิพร ยอมรับว่า ฝ่ายอัยการไม่ได้ไปดูพื้นที่จริง แต่กรณีนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหา และไม่ได้มีการเรียกมาให้ปากคำ โดยในสำนวน พนักงานสอบสวนยืนยันโดยอ้างจากการให้ปากคำของฝ่ายกรมป่าไม้ ว่าพื้นที่จำนวน 21 ไร่ ไม่ปรากฏว่าเพิ่มเป็น 30 ไร่ จึงไม่มีความเคลือบแคลงที่จะสอบสวนเพิ่ม และสั่งไม่ฟ้อง เมื่อส่งเรื่องมายังอัยการจึงไม่ต้องส่งตัวผู้ต้องหามาให้อัยการ ทำให้นายสุทัศน์ เงินหมื่น กล่าวสวนทันทีว่า แสดงว่า ป่าไม้บกพร่อง เพราะยังตรวจสอบพื้นที่ไม่เรียบร้อย แล้วก็มายืนยันกับพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมาธิการฯได้รุมซักถามนานกว่า 3 ชั่วโมง นายประชา ได้สรุปว่า ให้ผู้มาชี้แจงทั้งหมด ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติม เพื่อชี้แจงในการประชุมสัปดาห์หน้าวันที่ 20 ม.ค. ทั้งนี้ ภายหลังปิดประชุม นายประชากล่าวว่า ขณะนี้กำลังประสานไปยัง พล.อ.เปรม เพื่อนำข้อมูลการสอบสวนของฝ่ายอัยการไปให้พิจารณา และจะรายงานข้อมูลทั้งหมดให้สำนักราชเลขาธิการทราบด้วย ขณะเดียวกันจะแจ้งความดำเนินคดีกับอธิบดีกรมป่าไม้ อัยการที่รับผิดชอบสำนวนคดี ในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ.

...