เครดิตภาพจาก กองทัพเรือ
โปร่งใส!! กองทัพเรือ ยันการเสริมเขี้ยวเล็บ การจัดหาโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ลำที่ 2 เป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใส ย้ำเพื่อการพัฒนาระบบกำลังรบ ตามยุทธศาสตร์ ทร.ในการรักษาผลประโยชน์ทางทะเล และการช่วยเหลือ ปชช. ...
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 29 ก.พ. ที่กองทัพเรือ พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ เปิดแถลงข่าวโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ลำที่ 2 ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนากำลังรบตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ เพื่อรองรับกับบทบาทหน้าที่ของกองทัพเรือในด้านการปฏิบัติการทางทหาร ในการป้องกันประเทศ การรักษากฎหมาย และการช่วยเหลือประชาชน โดยให้มีขีดความสามารถในการลาดตระเวนตรวจการณ์รักษาฝั่ง ป้องกันการแทรกซึมทางทะเล คุ้มครองเรือประมง ป้องกันและคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล ตลอดจนการรักษากฎหมายในทะเล ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยกองทัพเรือได้ลงนามในสัญญาซื้อขายแบบเรือและพัสดุ กับ บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยใช้แบบเรือของ เรือหลวงกระบี่ เป็นแบบพื้นฐานในการปรับปรุงแบบเรือและการส่งมอบพัสดุ
...
โดยแบบเรือดังกล่าว มีต้นแบบมาจากแบบเรือของบริษัท BAE Systems Ships จำกัด จากประเทศอังกฤษ ส่วนการดำเนินการในส่วนอื่นๆ นั้น อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ จะดำเนินการประกอบตัวเรือ การต่อบล็อกเรือ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์และระบบต่างๆ ของเรือ และกรมสรรพาวุธทหารเรือจะดำเนินการในส่วนของระบบอาวุธ โดยใช้ศักยภาพและความรู้ความสามารถของกำลังพลกองทัพเรือ ในการดำเนินการติดตั้ง ทดสอบ ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับเรือหลวงกระบี่ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและการพึ่งพาตนเอง กับเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพเรือในการต่อเรือตรวจการณ์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด เรือ ต.991 และนำไปสู่การปรับปรุงเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด เรือ ต.994 ที่ได้มีการขยายแบบเรือ และรูปทรง ตามพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนมาถึง เรือหลวงกระบี่ ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกที่กองทัพเรือต่อขึ้นเอง ซึ่งในโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งมีจำนวน 2 ลำ โดยลำแรกคือ เรือหลวงกระบี่อยู่ในงบประมาณระหว่างปี 2551-2554 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 2,931,285,884 บาท และในลำที่สองในงบประมาณระหว่างปี 2559–2561 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 5,482,930,000 บาท มีรายละเอียดประกอบด้วย
1. งบประมาณที่ใช้ในการซื้อแบบเรือและพัสดุสำหรับสร้างเรือ ซึ่งรวมถึงเครื่องจักร อุปกรณ์ อะไหล่ เครื่องมือ ส่วนสนับสนุน สายไฟและสายสัญญาณที่ใช้กับอุปกรณ์ที่กองทัพเรือเป็นผู้จัดหา รวมถึงการบริการทางเทคนิคในการออกแบบ ติดตั้ง เชื่อมต่อ การตรวจรับ การทดสอบทดลองอุปกรณ์ การฝึกอบรมการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุง รวมเอกสารคู่มือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างเรือในสาขาต่างๆ ตามแบบเรือ การประกันภัยและการขนส่ง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นเงิน 2,832,930,000 บาท
2. งบประมาณที่ใช้ในการจัดหาระบบควบคุม ระบบอาวุธ และการบริหารโครงการ เป็นเงิน 2,650 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559–2561 แยกเป็นการจัดหาระบบควบคุมบังคับบัญชาและตรวจการณ์ วงเงิน 1,400 ล้านบาท จัดหาระบบปืนหลัก (ปืน 76/62 มิลลิเมตร) 370 ล้านบาท จัดหาระบบปืนรอง (ปืนกล 30 มิลลิเมตร) วงเงิน 150 ล้านบาท จัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น วงเงิน 360 ล้านบาท และการบริหารโครงการและฝึกอบรม วงเงิน 370 ล้านบาท
ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง โดยมี พล.ร.อ.พลเดช เจริญพูล ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ เป็นประธานกรรมการฯ โดยเหตุที่งบประมาณที่ใช้ในการจัดสร้างของเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ลำที่ 2 มีราคาสูงกว่าโครงการจัดสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่ 1 (เรือหลวงกระบี่) เนื่องมาจากระบบอาวุธที่ติดตั้งบนเรือหลวงกระบี่ เป็นระบบอาวุธปืนหลักและปืนรอง ในขณะที่ระบบอาวุธที่จะติดตั้งในโครงการจัดสร้างเรือตรวจการณ์ ลำที่ 2 นี้ นอกจากปืนหลักและปืนรองแล้ว ยังได้ติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้นแบบ ฮาร์พูน ซึ่งเป็นอาวุธปล่อยนำวิถีที่มีสมรรถนะและความแม่นยำสูง ซึ่งกองทัพเรือ ขอยืนยันว่า การดำเนินการทุกขั้นตอน ดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในอังคารที่ 1 มี.ค. เวลา 10.00 น. พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ จะเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2559 ณ เรือหลวงอ่างทอง ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยภายหลังพิธีเปิด กองอำนวยการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2559 ได้จัดให้มีการสาธิตการปฏิบัติการทางทหารประกอบด้วย การบังคับใช้กฎหมายในทะเล การปราบเรือดำน้ำ และการโจมตีโฉบฉวยสะเทินน้ำสะเทินบก.