"จาตุรนต์" อัด แม่น้ำ 5 สาย วางระเบิดวิกฤติชาติ วางกับดักใช้อำนาจกดสิทธิเสรีภาพ ปิดกั้นแสดงออก-ไม่ใส่ใจเร่ิมปรองดอง ได้ทีซัดล้มเหลวแก้ปัญหาทุจริต กรณี สสส.

วันที่ 17 ม.ค. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการดำเนินการของแม่น้ำ 5 สายที่ผ่านมาว่า ส่ิงที่แม่น้ำ 5 สายดำเนินการกันอยู่ ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติพ้นวิกฤติ ซ้ำยังเป็นการวางกับดักสร้างเงื่อนไขไปสู่วิกฤติที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต จะทำให้ประเทศเสียโอกาส ย่ำอยู่กับที่ รัฐบาลหลังเลือกตั้งบริหารงานไม่ได้ และอยู่ได้ไม่นาน เมื่อรัฐบาลยุบสภาวงจรเก่าทั้งหมดจะกลับมา แต่จะแตกต่างจากที่ผ่านมา ตรงที่ไม่ต้องมีการรัฐประหาร ฝ่ายที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งสามารถอยู่ได้นานๆ โดยเงื่อนไขปัจจัยที่สะสมไว้เพื่อให้เกิดวิกฤติในอนาคต ข้อหนึ่งก็คือ การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ การกดโดยใช้อำนาจเด็ดขาด กดผู้เดือดร้อนหรือผู้เห็นต่างไม่ให้แสดงความคิดเห็น ทำให้มีผู้เดือดร้อนจำนวนมากในอาชีพ องค์กรต่างๆ ไม่สามารถแสดงออกได้ ปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้รับการเปิดเผย ไม่ได้รับการแก้ไข จะเป็นลักษณะระเบิดเวลาในวันข้างหน้า หากไม่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล คสช. ก็จะมีโอกาสปะทุขึ้นมาได้ง่ายหลังการเลือกตั้ง 

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า อีกปัจจัยที่ทำให้วิกฤติยังคงอยู่ต่อไป หรือมากย่ิงขึ้นอีกอย่างคือ ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ปรากฎว่ามีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง กระบวนการปรองดองยังไม่เร่ิมต้นขึ้น ไม่มีการรวบรวมความรู้ที่มีการศึกษามา ประสบการณ์ ความคิดเห็นการปรองดอง โดย คสช. และรัฐบาล ไม่มีการริเริ่มหรือใส่ใจอยากปรองดองอย่างที่กล่าวอ้างว่าเป็นสาเหตุเข้าสู่อำนาจ

"ความจริงแล้วถ้าติดตามพูดของนายกรัฐมนตรี จะไม่เข้าใจกระบวนการปรองดองเลย มักจะแสดงความคิดเห็นที่ทำให้เห็นว่า เข้าใจผิดว่าการปรองดอง คือ เรื่องนิรโทษกรรม เท่านั้น ใครพูดเรื่องปรองดองขึ้นมา นายกฯ มักจะพูดเรื่องนิรโทษกรรม หรือ การอภัยโทษ โดยไม่พยายามรับฟังความเห็นฝ่ายต่างๆ ว่า มองปัญหาความขัดแย้งอย่างไร และจะแก้วิกฤติประเทศกันอย่างไร เมื่อนานเข้าจากสภาพที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนกลางที่จะเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง หรือกลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่พูดถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมยังไม่พูดเลย ดังนั้น จะให้ประเทศพ้นวิกฤติความขัดแย้งจึงเป็นไปได้ยาก และเมื่อเรากำลังมีรัฐธรรมนูญที่สร้างเงื่อนไขไปสู่วิกฤติด้วย ย่ิงทำให้เราไม่มีทางพ้นจากวิกฤติ" นายจาตุรนต์ กล่าว

...

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ปัญหาอีกเรื่องที่เป็นข้ออ้างที่ คสช.เข้ามาอยู่ในอำนาจ คือ การปราบปรามการทุจริต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ปีครึ่งที่ผ่านมา ไม่ได้รับการดำเนินการใดๆ กลับทำให้เสียหายมากขึ้น ไม่ปรับปรุงระบบป้องกันการทุจริต ล้มเลิกระบบที่องค์กรอิสระเป็นผู้ดูแลปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เปลี่ยนมาอยู่ใต้ฝ่ายบริหารทั้งรัฐบาล และ คสช. ใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 ทำให้เกิดปัญหามากกว่าเป็นประโยชน์ ทำระบบการป้องกันและปราบปรามเสียหายย่ิงกว่าเดิม อย่างกรณีจัดการกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ บอร์ด (สสส.) การปลดกรรมการ สสส. เป็นตัวอย่างของความล้มเหลวเชิงระบบ อาศัยการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง และทำให้ไม่มีกระบวนการไปตรวจสอบ สสส.อย่างโปร่งใส และยุติธรรม ดังนั้น เมื่อใช้มาตรา 44 ไม่เป็นธรรมกับองค์กรและคนจำนวนมากที่ถูกใช้คำสั่ง อันมีผลทำให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากเกิดอาการเกียร์ว่าง เพราะบรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐกลัวว่า ไม่รู้ว่าวันไหนจะถูกดำเนินการด้วยมาตรา 44 โดยไม่สามารถไปร้องขอความเป็นธรรมกับใครได้ จากที่ต้องเสียสิทธิประโยชน์และเกียรติยศไปแล้ว และต้องสับสนกับนายกฯ ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ตอนแรกให้กลับมาแล้วมาบอกให้สรรหาใหม่ เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้ว บทบาทของแม่น้ำ 5 สาย ไม่ได้กำลังแก้ปัญหาสำคัญๆ ของประเทศ แต่กำลังซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่แล้วแย่ลง กำลังทำให้ประเทศเสียโอกาสไปทุกวัน โดยที่มีแนวโน้มว่าปัญหาเหล่านี้ จะมีมากขึ้น และวิกฤตินี้จะยืดเยื้อและยาวนานต่อไป