“ผมไม่ได้คิดขนาดนั้นว่าผมเหลืออายุราชการเยอะ จะนั่งอยู่บนเก้าอี้แบบสบายๆ มันไม่ใช่ เก้าอี้ตัวนี้มันอยู่บนความท้าทาย ความรับผิดชอบทั้งนั้น” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
เรียกได้ว่าเป็นนายตำรวจครบเครื่องทั้งสายบู๊และบุ๋น ผู้อยู่เบื้องหลังคดีสำคัญมากมาย ทั้ง คดีระเบิดราชประสงค์ ที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก หรือจะเป็นคดีฆ่าพระหมอ จ.อุดรธานี คดีระเบิดสมุย คดีฆ่าสองนักท่องเที่ยวอังกฤษที่เกาะเต่า และอีกหลายคดีที่ไม่ได้ยกขึ้นมา
จากที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เข้ารับราชการครั้งแรกเมื่อปี 2526 เป็นรอง สวส.สภ.เมืองบุรีรัมย์ ก่อนจะค่อยๆ ขยับขึ้นมา โดยอาศัยประสบการณ์ และความสามารถ จนกระทั่งก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่ง ผบช.น. แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองได้เปลี่ยนขั้วใหม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงถูกคำสั่งโยกย้ายไปนั่งเป็น ผบช.ภ.9 แทน ทั้งที่มีผลงานในการคลี่คลายคดีสำคัญนับไม่ถ้วน
กว่าจะฝ่าฟันเกลียวคลื่นมากมายที่ผ่านเข้ามา จนมีชื่อเข้าชิงเป็น ผบ.ตร. คนที่ 11 ด้วยประสบการณ์ และความสามารถที่เป็นนายตำรวจมืออาชีพอย่างแท้จริง ทำให้ระบบอาวุโสต้องหยุดชะงัก และดึงมืออาชีพสายบู๊-บุ๋น อย่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่เหลืออายุราชการ 5 ปี ขึ้นมานั่งในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวงการสีกากีในที่สุด
...
วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้นั่งพูดคุยสนทนากับ ‘พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา’ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 11 พ่วงด้วยการนั่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อีกตำแหน่งด้วย
เชื่อว่าเมื่อใครได้ก้าวเข้ามาเป็นนายตำรวจสวมชุดกากี แน่นอนว่าจะต้องมีเป้าหมายในชีวิต อยากจะเป็นสารวัตร ผู้กำกับ ผู้บังคับการ จนไปถึงระดับฝ่ายบริหารของตำรวจ ทุกคนคงตั้งเป้าหมายเอาไว้ตรงจุดนั้น ส่วนใครจะไปได้ถึงจุดไหนอย่างไร ก็อยู่ที่ตัวเองเป็นหลัก
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวถึงในเรื่องนี้ว่า “ในเมื่อผู้บังคับบัญชาไว้วางใจผมให้มารับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผู้นำองค์กร มันเป็นตำแหน่งที่ท้าทาย ตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาคาดหวังไว้ ผมก็ต้องทำให้ได้ ต้องผ่านจุดนั้นไปให้ได้”
ขับเคลื่อนนโยบาย 6 ข้อ เพิ่มปรับภาพลักษณ์ ตร.
สำหรับนโยบายในการบริหารงานวงการตำรวจนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้มอบนโยบายไว้ 6 ข้อ ได้แก่ 1. พิทักษ์ ปกป้อง และเทิดพระเกียรติ เพื่อความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. รักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยในสังคม 3. การป้องกันปราบปราม และลดระดับอาชญากรรม 4. การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ 5. การเร่งรัดขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปองค์กรตำรวจ ในยุคประชาคมอาเซียน 6. การเสริมสร้างความสามัคคี และการบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ ซึ่งได้มอบหมาย และขับเคลื่อนนโยบายไปแล้ว
นอกเหนือจากนโยบายทั้ง 6 ข้อนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังเพิ่มเติมเรื่องการปรับปรุงภาพลักษณ์ หรือการทำให้ประชาชนมองตำรวจในแง่ที่เป็นมิตรด้วย เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมานั้น อาจจะมีบ้างที่ประชาชนยังมีทัศนคติกับตำรวจที่ไม่ค่อยดี พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงมองว่า จะต้องปรับปรุงภาพลักษณ์ของตำรวจให้ดีขึ้น นอกจากงานในส่วนป้องกันและปราบปราม งานสืบสวนดีอยู่แล้ว รวมทั้งคดีต่างๆ ก็สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้เกือบทุกคดี แต่วงการตำรวจกลับมาเสียหายในเรื่องที่ต้องปรับปรุงภาพลักษณ์เท่านั้นเอง
“ผมเชื่อว่าทุกองค์กร ภาพลักษณ์เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งในองค์กรย่อมมีทั้งคนดี และคนไม่ดีอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้น จุดไหนที่ไม่ค่อยดี จะต้องได้รับการแก้ไขในจุดนั้นก่อน และเติมเต็มให้สมบูรณ์ ขณะที่ จุดที่ดีก็ต้องรักษาไว้และเติมเต็มเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่จะต้องสะสางอย่างเร่งด่วน ก็คือการปรับปรุงสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้ประชาชนมีความเชื่อถือตำรวจมากขึ้น มีความศรัทธาว่า ตำรวจสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ผมขอเวลาทำงานตรงนี้ เพราะในไตรมาสแรกได้บอกแล้วว่า จะทำเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของวงการตำรวจ ปรับปรุงภาพที่ไม่ดีของตำรวจ จะทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ส่วนเรื่องอื่นๆ เดินไปได้ด้วยระบบที่วางไว้อยู่แล้ว
และตอนนี้ได้มอบนโยบายให้ท่านรอง ผบ.ตร. ทุกท่านไปประชุมลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะ วงการตำรวจ ห่างการพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชามานาน ต้องเข้าไปพูดคุย และไปปรับทัศนคติบ้าง ส่วนไหนที่ดีก็คงไว้ ส่วนไหนที่ไม่ดีให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น และคิดว่าสิ่งที่ปรับปรุงแล้ว ผลดีก็จะตกอยู่กับประชาชน ผู้ที่ใช้บริการตำรวจ อยากเห็นตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชนจริงๆ” แม่ทัพสีกากี กล่าว
คิดเร็ว ทำเร็ว แบบฉบับ ‘บิ๊กแป๊ะ’
การที่นายตำรวจคนหนึ่งจะก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งแม่ทัพของวงการสีกากีได้นั้น ย่อมต้องมีความรู้ ความสามารถมากพอสมควร ผ่านร้อนผ่านหนาว มีประสบการณ์คลี่คลายคดีต่างๆ ไม่เช่นนั้นคงก้าวมาอยู่ในจุดนี้ไม่ได้ สำหรับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็เช่นเดียวกัน
“สำหรับตัวผมเอง ผมเป็นคนคิดเร็ว ทำงานเร็ว ต้องมีถามมีตอบ ไม่ใช่ว่าถามแล้วไม่ตอบกลับมา มาเอ่อ อ่า นู่นนี่นั่น ไม่ได้เวลาอยู่กับผม เมื่อผู้บังคับบัญชามอบหมายงานให้แล้วต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องเล็กทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องง่ายทำให้เป็นเรื่องยาก พูดแล้วต้องรีบทำให้ได้ เหมือนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีผู้บังคับบัญชามอบหมายภารกิจมาให้ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่มาอ้างนู่นอ้างนี่ นี่คือหลักในการทำงานของผม” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
32 ปี ในวงการชุดกากี ภูมิใจทุกคดีที่ทำ!
ด้วยความที่เติบโตมากับหน่วยปฏิบัติ ตั้งแต่รับราชการครั้งแรก ปี 2526 จนถึงปัจจุบัน ความเก๋าเกมในการทำงาน 32 ปี ผ่านคดีสำคัญมาอย่างโชกโชน แต่กลับไม่มีเวลานั่งคิดว่าคดีใดภูมิใจที่สุด จึงไม่สามารถถ่ายทอดความประทับใจออกมาได้ แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เผยว่า ไม่ว่าจะเป็นคดีใดก็แล้วแต่ เขาภูมิใจในทุกๆ คดีที่เขาได้ทำ!
“ผมทำงานจนไม่มีเวลาคิดว่า คดีไหนมันดีกว่ากัน หรือประทับใจมากกว่ากัน ผมภูมิใจในทุกๆ คดีที่ทำ อย่างเช่น คดีระเบิด ก็ภูมิใจที่ทำได้ เพราะมันเป็นคดีระดับโลก เป็นคดีที่ต้องเรียกความเชื่อมั่นของคนไทยกลับมา และไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประเทศ เรียกความศรัทธา ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับคืนมา” เจ้าของฉายาสุภาพบุรุษแก๊สน้ำตา กล่าว
ในขณะเดียวกัน ถ้าพูดถึงเรื่องหนักใจที่สุดนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ เผยว่า “หนักใจเรื่องสื่อออนไลน์ เพราะชอบบิดเบือนข้อเท็จจริง อยากจะฝากความห่วงใยไปยังพี่น้องประชาชนด้วย ถ้ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงตามสื่อออนไลน์ อาจจะถูกดำเนินคดีได้ ส่วนเรื่องหนักใจอื่นๆ นั้น ผมผ่านมาเยอะแล้ว และเป็นคนที่ทำใจได้”
ผบ.ตร. ย้ำชัด ลูกน้องนอกแถว เจอจัดหนักจัดเต็ม!!
เป็นที่รู้กันของวงการตำรวจว่า มีเจ้าหน้าที่บางรายอาศัยการเป็นผู้รักษากฎหมาย เอารัดเอาเปรียบประชาชน ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในตำรวจ และมีทัศนคติที่เป็นไปในทางลบมากกว่า สำหรับเรื่องดังกล่าวที่เอ่ยมานั้น ผบ.ตร.คนใหม่ จะมีแนวทางจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชานอกแถวอย่างไร
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทุกอย่างมีวินัยตำรวจอยู่แล้ว ส่วนหนึ่ง คือ ปลดออก ไล่ออก ถ้าไปทำความผิดอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ไม่ถึงกับเลวร้าย สามารถเรียกมาปรับจูนทัศนคติได้ บอกอย่าทำอย่างนี้ อย่าเลยมันไม่ดี ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อน แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด หมายความว่า ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็เรียกมาพูดคุยปรับทัศนคติใหม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเป็นผู้นำไม่ได้”
อายุราชการเหลืออื้อ 5 ปี ‘บิ๊กแป๊ะ’ แจง นั่งอยู่บนความท้าทาย!?
กว่าจะฝ่าฟันมานั่งเก้าอี้กุมบังเหียนสีกากีได้นั้นไม่ธรรมดา หากดูรายชื่อ รอง ผบ.ตร. ผู้ที่เป็นแคนดิเดตมีสิทธิ์ลุ้นนั่งตำแหน่งแม่ทัพสีกากี เริ่มตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1 อย่าง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์, พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ, พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา, พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ, พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน และ ดาวรุ่งพุ่งแรงอายุราชการเหลืออื้อ 5 ปี นั่นคือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
แต่แล้วในที่สุด กำแพงอาวุโสก็ต้องพังทลายลง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการแม่ทัพที่มีความเป็นมืออาชีพในการบริหารงาน และได้รับความเชื่อถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา จึงตัดสินใจกาชื่อ บิ๊กแป๊ะ ผงาดนั่งตำแหน่ง ผบ.ตร. คนต่อไป ต่อจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
“ผมไม่ได้คิดขนาดนั้นว่าผมเหลืออายุราชการเยอะ จะนั่งอยู่บนเก้าอี้แบบสบายๆ มันไม่ใช่ เก้าอี้ตัวนี้มันอยู่บนความท้าทาย ความรับผิดชอบทั้งนั้น ในทุกๆ วัน ผมคิดเรื่องงานทั้งวันก็เลยไม่ได้คิดว่าผมจะอยู่ครบถึงวันเกษียณหรอก ส่วนที่มีอายุราชการยาวนานก็มีข้อดี คือ งานที่ทำไว้จะได้ต่อเนื่อง บางท่านอยู่ปีสองปีงานยังเสร็จไม่หมดก็ต้องไปเสียก่อน พอเกษียณไปแล้วงานที่คั่งค้างอยู่คนใหม่ก็อาจจะสานต่อ หรืออาจจะไม่สานต่อก็ได้ นั่นคือเรื่องของการขาดตอน ขาดช่วงเท่านั้นเอง” ผบ.ตร. ป้ายแดง กล่าวทิ้งท้าย
อนาคตของวงการตำรวจจะเป็นอย่างไรต่อไป อยู่ในมือของ 'บิ๊กแป๊ะ' พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา