เมื่อวานนี้ผมนำเรื่องราวของการประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก ว่าด้วยแนวทางการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศอย่างยั่งยืน เพื่อนำมติเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 70 ซึ่งมีผู้แทนภาคเอกชนจากไทยคือ กลุ่มเซ็นทรัล ไปร่วมประชุมด้วย

ในการประชุมที่เรียกว่ากลุ่มผู้นำ “นักธุรกิจและการกุศล” ซึ่งประกอบด้วยมหาเศรษฐีใจบุญใจกุศลระดับโลก จากสมาชิกยูเอ็นกว่า 80 ประเทศทั่วโลก

มี แจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอีคอมเมิร์ซ อาลีบาบา มหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของจีน และ คุณ เมลินดา เกตส์ ประธานมูลนิธิ บิลและเมลินดา ฯลฯ

เสร็จแล้วผมก็แสดงความชื่นชมกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ใจบุญใจกุศลรวยแล้วช่วยสังคม จนมีผลงานที่รู้ไปถึงยูเอ็น เขาจึงเชิญไปร่วมประชุม

ขณะเดียวกันผมก็ฝากเอาไว้ว่า ขอให้นักธุรกิจและคนมั่งมีของประเทศไทยจงให้และช่วยเหลือสังคมไทยต่อไปตามโครงการเพื่อสังคมและการกุศลต่างๆที่มีเป็นอันมากในปัจจุบันนี้

เขียนต้นฉบับส่งไปแล้วก็นึกได้ว่านิตยสาร Secret ในเครืออมรินทร์ พริ้นติ้ง ฉบับปลายๆกันยายนที่ผ่านมา เขาลงสารคดีเกี่ยวกับมหาเศรษฐีใจบุญระดับโลก พร้อมกับพาดหัวว่า “ยิ่งรวยยิ่งให้...ยิ่งให้ยิ่งรวย”

ย้อนอดีตเศรษฐีใจบุญไปตั้งแต่ยุค แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ของสหรัฐอเมริกา มาจนถึง จอห์น เดวิสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ร็อกกี้เฟลเลอร์ที่ทั่วโลกรู้จักดี

มาจนถึงเอกอัครมหาเศรษฐีรุ่นปัจจุบันอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต์ ราชาตลาดหุ้น และ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ที่เป็นเอกอัครมหาคนใจบุญด้วย โดยร่วมกันจัดตั้งโครงการ “The Giving Pledge” หรือพันธสัญญาแห่งการให้ ที่เราคงได้ยินชื่อกันดีอยู่แล้ว

โดยได้เชิญชวนให้มหาเศรษฐีทั่วโลกบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้แก่องค์กรกุศลแต่เลือกได้ว่าจะบริจาคก่อนหรือหลังเสียชีวิต

...

นิตยสารซีเคร็ตนำรายชื่อและคำพูดคมๆของมหาเศรษฐีมาลงให้อ่านหลายคน อย่างเช่น ของคุณวอร์เรนนั้น เขาเคยกล่าวว่า

“ผมไม่สนใจที่จะให้มรดกของผมตกทอดไปถึงลูกหลาน เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่า ตระกูลผมจะเป็นมหาเศรษฐีต่อเนื่องไปหลายชั่วอายุคน ยิ่งเมื่อผมเห็นว่าประชากรโลก 6 พันล้านคน ยากจนกว่าเรามากมายหลายเท่านัก ผมจะมีความสุขมาก หากเพื่อนร่วมโลกได้ประโยชน์จากการให้ของเรา”

ในส่วนของทวีปเอเชียเรานั้น ก็มีมหาเศรษฐีใจบุญหลายคน อาทิ คุณ อาซิม เปรม จี ประธานบริษัท ไวโปร ผู้ส่งออกซอฟต์แวร์รายใหญ่อันดับ 3 ของอินเดีย ที่ได้บริจาคเงินเพื่อการศึกษาไปแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท

อีกคนก็ แจ็ก หม่า ละครับ แม้จะไม่ได้บริจาคให้โครงการ Giving Pledge แต่ก็บริจาคหุ้นของเขาไปแล้วให้องค์กรการกุศลต่างๆกว่า 2,400 ล้านดอลลาร์ น่าจะเฉียดๆ 8 หมื่นล้านบาทกระมัง

อีกคนก็คือ เฉิน กวงเปียว มหาเศรษฐีจีน แห่งเมืองนานจิง เจ้าของธุรกิจรีไซเคิล รายใหญ่ที่เป็นเศรษฐีจีนรายแรกที่เข้าร่วมโครงการ Giving Pledge และประกาศจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 50,000 ล้านหยวนให้แก่การกุศล

เฮียเฉินเป็นคนยากจนที่เคยสูญเสียพี่น้องไปเพราะความอดอยาก แต่โชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยสอนลูกๆให้เห็นแก่ตัว แต่สอนว่า คนดี คือคนที่รู้จักอดทนและมีนํ้าใจ เป็นเหตุให้เขาเมื่อร่ำรวยแล้วชอบทำบุญเป็นกิจวัตร

เขาเคยกล่าวไว้ว่า “พ่อแม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ผม และผมก็ไม่ปรารถนาที่จะทิ้งอะไรไว้ให้ลูกๆ นอกจากความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ซึ่งได้มาจากทำงานการกุศล”

ท้ายที่สุดนิตยสารซีเคร็ต หักมุมด้วยการเอ่ยถึงบุรุษผู้หนึ่งที่ชื่อ หม่า หยง ชาวเมืองเวยไห่ ซึ่งมีอาชีพเป็น รปภ. พนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งบริจาคเงิน 3 ใน 4 ของเงินเดือน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 9,000 บาทให้แก่เด็ก นักเรียนที่ยากจน 17 คน มาเป็นเวลานานกว่า 19 ปี รวมแล้วเป็นเงินถึง 470,000 หยวน หรือกว่า 2 ล้านบาท

แม้ครอบครัวจะคัดค้านและพยายามให้เขาเลิกบริจาคเพื่อเก็บเงินไว้ใช้เองบ้าง แต่ รปภ.หม่าตอบว่า

“แค่ผมมีอาหารกินอิ่มท้อง มีเสื้อผ้าอุ่นๆใส่ก็มีความสุขมากพอแล้ว

นี่คือสุดยอดของคนใจบุญตัวจริงเสียงจริง ที่สมควรแก่การปรบมือให้อย่างแท้จริง

ขอบคุณนิตยสารซีเคร็ตที่ไปรวบรวมเรื่องดีๆอย่างนี้มาให้อ่านและขออนุญาตเผยแพร่ต่อให้รับรู้กันอย่างกว้างขวางผ่านคอลัมน์นี้อีกหนึ่งช่องทางนะครับ.

“ซูม”