สปช.สับ ปปช.หน้าห้องเน่า!
“บิ๊กตู่” เลี่ยงตอบสื่อซักปรับ ครม. อุบไต๋ ถ้ามีก็อยู่ในใจเดี๋ยวจัดการเอง บ่นฝนยังไม่ตั้งเค้า ไม่มีชื่อใครทั้งนั้น “บิ๊กป้อม” โยนถ้าจำเป็นนายกฯลงมือเอง ฉะสื่อมโนดึง “สมคิด” เป็นรัฐมนตรี “ปีติพงศ์-อำนวย” ไม่กดดันเขย่า ครม.แล้วแต่นาย ด้าน “สมคิด” ออกตัวข่าวโยงมั่ว ครวญแก่แล้วอยากอยู่บ้านเลี้ยงหลาน กมธ.ยกร่างฯเปิดช่องศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคล้มล้างการปกครอง เพิ่ม 4 กฎเหล็กตัดสิทธิตลอดชีพนักการเมืองถูกถอดถอน “เลิศรัตน์” เลี่ยงตอบ “ยิ่งลักษณ์” เข้าข่ายโดนแช่แข็ง ป.ป.ช.เปิดกรุสมบัติอดีต รมต.-อดีต ส.ว.หลังรัฐประหาร 1 ปี “พงศ์เทพ” ยังครองแชมป์รวยสุด 2,933 ล้าน “ชัชชาติ” รับมรดกแม่อู้ฟู่ 54 ล้าน อดีต ส.ว.มุกดาหาร จนเวอร์ มีเงินติดบัญชีแค่ 3,000 บาท
จากกรณีมีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีหลายตำแหน่งในเร็วๆ นี้ โดยมีชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และที่ปรึกษานายกฯรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วยนั้น
นายกฯอุบไต๋จัดการเองปรับ ครม.
เมื่อเวลา 16.50 น.วันที่ 17 ก.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึง กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยแสดงท่าทีปฏิเสธทันทีที่ถามเรื่องดังกล่าวว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ตอบแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงชื่อบุคคลในข่าวที่จะมาเป็นรัฐมนตรี แต่ยังไม่ทันถามจบ พล.อ.ประยุทธ์ ชิงกล่าวขึ้นก่อนว่า “ข่าวคุณเขียน ผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ผมยังไม่ได้พูดสักคำ” ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า แสดงว่าไม่มีการปรับ ครม.ใช่ไหม นายกฯกล่าวว่า ไม่รู้ ไม่แสดงความเห็นอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวคุณก็บอกว่ายังไม่รู้ แสดงความแตกต่างกับคำว่า ไม่ปรับ คุณตีความผม เดี๋ยวผมจัดการของผมเอง
...
ผู้สื่อข่าวพยายามถามต่อไปอีกถึงชื่อคนที่เป็นข่าว พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงกล่าวสวนขึ้นมาว่า “คุณสมัครหรือเปล่าละ” ผู้สื่อข่าวตอบกลับนายกฯว่า “ความรู้ไม่ถึง” นายกฯจึงถามกลับไปว่า “ทำไม ความรู้คุณจบอะไรมา คุณก็จบสูงปริญญากันหมด”
พลิ้วฝนยังไม่ตั้งเค้า ไม่มีชื่อใครทั้งนั้น
ต่อข้อถามว่า เห็นมีชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิก คสช.จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้วย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี ยังไม่มีข่าว ข่าวคุณไม่ใช่ข่าวผม” ผู้สื่อข่าวพยายามถามต่อว่า มีชื่อนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายกฯยังคงปฏิเสธว่า “ไม่มี ไม่มีใครทั้งนั้น ยังไม่มี ถ้ามีก็อยู่ในใจผม ทำไมต้องบอก” ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า แสดงว่าจะมีเค้าลางจะปรับ ครม.ใช่ไหม นายกฯกล่าวว่า ไม่มี ฝนยังไม่ตกเลย เค้าฝนมาหรือยังล่ะ ยังไม่มาเลย ถามเรื่องอื่น พอแล้ว
“บิ๊กป้อม” ชี้จำเป็นนายกฯลงมือเอง
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับ ครม.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้คุยกับตน ท่านจะคุยกับใครตนไม่รู้นะ เมื่อถามว่า นายกฯได้คุยกับรัฐมนตรีท่านอื่นๆบ้างหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ยังไม่มีคุย ตอนนี้ทำงานก็หนักตายแล้ว จะมาพูดเรื่องปรับ ครม. ถ้าจำเป็นจริงๆ นายกฯคงดำเนินการของท่านเอง ต้องดูสถานการณ์เหมาะสมขนาดไหน ควรทำย่างไร ไม่ใช่พอทำไปแล้ว แล้วทำอะไรไม่ได้เลยก็ลำบาก เหมือนเริ่มต้นต้องดูให้เหมาะสม นายกฯท่านรู้ ท่านดูของท่านมาโดยตลอด ติดตามทุกเรื่อง
ฉะสื่อทึกทักดึง “สมคิด” นั่ง รมต.
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าจะดึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิก คสช.มาเสริมทีม พล.อ.ประวิตร ถามกลับว่า ข่าวใคร กระแสที่ไหน ใครบอก ผู้สื่อข่าวได้ตอบกลับว่ามีหนังสือพิมพ์ลงในหลายฉบับ รองนายกฯ กล่าวตอบว่า อ๋อ เรื่องหนังสือพิมพ์คุยกันเอง คุยกันเองแล้วกัน ตนไม่รู้ เมื่อถามว่า นายสมคิดอยู่ในคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช.อยู่แล้ว จะเข้ามาช่วยแบบเต็มตัวได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เวลานี้ท่านช่วยอยู่แล้ว ช่วยทุกเรื่อง เรื่องอะไรต่างๆท่านก็พูดในคณะกรรมการขับเคลื่อนของ คสช.อยู่แล้ว และท่านก็เป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว ส่วนที่ถามว่าเข้ามาช่วยเต็มตัวหรือไม่ ก็ไม่รู้ว่าเต็มตัวแบบไหน
ปัดดึง “สรอรรถ” คุม ก.เกษตรฯ
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะดึงนายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรฯ เข้ามาเป็น รมว.เกษตรฯ แทนนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่รู้ ไม่ได้สนิทกัน ไปเอาข่าวมาจากไหน เพิ่งรู้จากสื่อนี่แหละ เมื่อถามว่า ครม.ทุกส่วนยังสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ตนว่าทุกคนก็ตั้งใจ ส่วนดีไม่ดีตนให้คำตอบไม่ได้ ต้องให้พวกท่านดู แต่เท่าที่ดูโพลสำรวจออกมาก็ดี ทุกคนก็ตั้งใจดี ทุกคนที่เข้ามาเสียสละด้วยกันทั้งนั้น มีความตั้งใจ ไม่ได้ทำให้ใคร ทำให้นักข่าว ทำให้ประชาชนทุกคน เมื่อถามย้ำว่าหากนายกฯมาปรึกษาปรับ ครม.จะให้คำปรึกษาอย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตรตอบว่า ท่านนายกฯยังไม่ได้ปรึกษา ตนเลยยังไม่ได้คิด
“ปีติพงศ์” ไม่กดดันข่าวจ่อตกเก้าอี้
ด้านนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรฯ กล่าวถึงกระแสข่าวถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คนอื่นเขาก็คอมเมนต์กันไป ใครจะพูดอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่ตนทำงานอย่างเต็มที่ คนอื่นจะพอใจหรือไม่ตนไม่ทราบ แล้วแต่เขา ส่วนนายกฯก็ให้กำลังใจรัฐมนตรีทุกคน ยืนยันว่าไม่กดดันสบายใจ ทำงานเต็มที่
เขย่า ครม.ต้องแล้วแต่นาย
ด้านนายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวการปรับ ครม.ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯว่า ส่วนตัวไม่ได้ตกใจกับข่าวนี้เลย ทำไมต้องตกใจ เพราะงานก็ทำกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นตน หรือนายปีติพงศ์ การที่เราจะหยุดหรือเดินต่อ มันมีกติกาอยู่แล้ว แน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ในทีมนี้ สปิริตมีร้อยเปอร์เซ็นต์ คืออย่างไรก็ได้แล้วแต่นาย และที่รัฐมนตรีบ่นว่าเหนื่อยตนก็ว่าเป็นเรื่องธรรมดา งานมันหนัก เพราะปัญหามันเรื้อรังมานาน ที่ผ่านมาไม่มีใครที่แก้ปัญหาอย่างจริงจังและเป็นระบบ พอมันจะต้องรื้อก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา และต้องมาลงมืออีก แต่ก็ไม่เคยได้ยินรัฐมนตรีคนใดบอกว่าจะลาออก ได้ยินแต่จะตั้งตาทำงานให้ดีที่สุดตามโรดแม็ป
“สมคิด” แกล้งโทรศัพท์หนีสื่อซัก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) ทั้งนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิก คสช.และในฐานะประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ปรากฏว่าหลังเสร็จสิ้นการประชุม เวลา 10.00 น.นายสมคิดได้รีบเดินออกจากห้องประชุมจะไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านนอกทำเนียบรัฐบาล โดยมีกลุ่มผู้สื่อข่าวมาดักรอขอสัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่มีชื่อนายสมคิดจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในการปรับ ครม.ที่จะมีขึ้นด้วย โดยนายสมคิดยกมือปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แม้ผู้สื่อข่าวจะพยายามเดินตาม และเปลี่ยนเรื่องมาถามผลประชุม แต่นายสมคิดยังคงปฏิเสธ พร้อมกับทำทีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุย แล้วเดินเลี่ยงไปขึ้นรถออกจากทำเนียบรัฐบาลไป
บ่นโยงมั่ว–ขออยู่บ้านเลี้ยงหลาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน นายสมคิดได้เปรยกับคนใกล้ชิดว่า ข่าวปรับ ครม.ที่ออกมามั่วทั้งนั้น ไม่มี อย่าเอาตนไปผสมโรงกับเขาเลย ทุกวันนี้ก็สับสนมากแล้ว ตนแก่แล้วอยากอยู่บ้านเลี้ยงหลานมากกว่า เพราะลูกชายคนโตจะแต่งงานวันที่ 25 ก.ค.นี้แล้ว สู้รอเลี้ยงหลานจะดีกว่า ก็ว่าจะหลบไปอยู่กับลูกที่ต่างประเทศ
กมธ.ยกร่างฯยกกรีซเตือนสติไทย
เมื่อเวลา 09.00 น. โรงแรมเอเชีย พัทยา จ.ชลบุรี มีการประชุมคณะ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญนอกสถานที่ เป็นวันที่ 5 โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯเป็นประธานการประชุม ก่อนเริ่มประชุมนายบวรศักดิ์ ให้นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กมธ.ยกร่างฯ บรรยายสรุปปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกรีซว่า ปัญหาของกรีซจะเป็นบทเรียนให้กับประเทศไทยในอนาคต เพื่อไม่ให้ไทยเกิดปัญหาแบบกรีซเป็นบทเรียนของทุกคนว่าไม่ควรจะมีสวัสดิการมากเกินไป วินัยการเงินการคลังก็เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนจุดจบของปัญหานี้แน่นอนว่าประเทศยุโรปจะไม่มีทางให้กรีซออกไป ซึ่งต้องเดินลุยไฟอย่างนี้ต่อไปอีกหลายปี ดังนั้น ประเทศไทยต้องพยายามคิดให้ดีๆว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดวินัยการเงินการคลัง ทำอย่างไรไม่ให้รัฐบาลใช้จ่ายเพื่อประชาชนจนเกินตัว ทำอย่างไรไม่ให้มีรัฐ-สวัสดิการที่ใหญ่จนเกินไป และทำอย่างไรเพื่อให้ประชาชน เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ขณะเดียวกันทำอย่างไรให้มีงบประมาณสำหรับการลงทุนที่พอเพียง
เปิดช่องร้องศาล รธน.ยุบพรรค
ต่อมาเวลา 15.00 น. พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างฯแถลงผลการประชุมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา พิจารณาจบมาตราเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เว้นในส่วนขององค์กรปฏิรูปและสร้างความปรองดอง และบทเฉพาะกาล โดยได้ทบทวนมาตราสำคัญที่แขวนไว้ 7 ประเด็น คือ มาตรา 33/1 ว่าด้วยการให้อำนาจฟ้องร้องพรรค การเมือง ที่ดำเนินการในลักษณะล้มล้างการปกครอง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำเข้าข่ายให้สั่งเลิกการกระทำ อาจมีคำสั่งยุบพรรคนั้นได้ ซึ่งการล้มล้างการปกครองต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส. ที่เป็นอำนาจของ ส.ส.อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรา 74/1 เกี่ยวกับการตรวจสอบแบบฟอร์มการยื่นภาษีย้อนหลัง 5 ปี สำหรับการเข้าสู่ตำแหน่งที่สำคัญ เช่น องค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสำหรับผู้ที่ได้รับเลือกอีกครั้ง
ตัดสิทธิตลอดชีพนักการเมืองถูกสอย
พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวถึงส่วนคุณสมบัติต้องห้ามผู้สมัคร ส.ส.ในมาตรา 111 (8) ให้คงไว้ตามเดิมคือ เคยต้องคำพิพากษา หรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่า การกระทำการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม แต่เพิ่มข้อความใน (14) ที่กำหนดว่าอยู่ระหว่างห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 247 ว่าด้วยเรื่องการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินหรือถูกถอดถอนเหตุมาจากจงใจใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายและการประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง ส่วน (15) กำหนดเพิ่มเติมว่า เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเพราะเหตุที่ว่า 1. มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ 2. ส่อทุจริตในหน้าที่ 3. ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ 4. ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าข่ายในมาตรา 111 (8) และ (15) จะถูกตัดสิทธิในการสมัครเป็น ส.ส.ตลอดชีวิต ส่วนในมาตรา 111 (14) จะถูกตัดสิทธิเพียง 5 ปี ซึ่งการปรับเปลี่ยนในส่วนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว 57 มาตรา 35 (4) และให้มีกลไกดำเนินการ กับผู้ที่ทุจริตประพฤติมิชอบในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
เลี่ยงตอบเข้าข่ายแช่แข็ง “ยิ่งลักษณ์”
เมื่อถามว่า กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกถอดถอน จะเข้าข่ายถูกตัดสิทธิตลอดชีวิตหรือไม่ พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า จะไม่ขอยกตัวอย่างบุคคลที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว บางอย่างต้องไปตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ที่พูดไปชัดเจนว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น และถ้าใครสงสัยสามารถร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้
กกต.จี้ชักใบแดงก่อนประกาศผล
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงกรณีกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญตัดอำนาจให้ใบแดงของ กกต.ว่า ร่างของกมธ.ยกร่างฯไม่สามารถจัดการคนทุจริตได้ สถิติตั้งแต่ปี 2552-2557 พบว่าศาลยกคำฟ้องใบเหลือง-ใบแดงถึงร้อยละ 43.5 เนื่องจากกระบวนการการพิจารณาใช้เวลา 1-2 ปี ทำให้นักการเมืองที่ทุจริตเข้าสู่ตำแหน่งและใช้อิทธิพลคุกคามพยาน ทำออกมาแบบนี้ไม่ได้เรื่อง เข้าทางนักการเมือง ถ้าเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้แล้วมีปัญหากมธ.ยกร่างฯต้องรับผิดชอบ ขอให้จำชื่อเอาไว้ ประเด็นที่ กกต.อยากเสนอคือต้องเร่งรัดให้ออกใบแดงก่อนประกาศผลให้ได้ เพื่อเอานักการเมืองทุจริตออกจากการแข่งขัน ก่อนจะรับรองผลการเลือกตั้ง จึงจะแก้ปัญหาทุจริตได้
“ชัชชาติ” รับมรดกแม่อู้ฟู่ 54 ล้าน
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของอดีต ครม.รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีพ้นจากตำแหน่งหลังรัฐประหารครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2558 จำนวน 24 คน มีบัญชีทรัพย์สินที่น่าสนใจ อาทิ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 111,029,213 บาท เมื่อเทียบกับสมัยยื่นบัญชีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 พบว่ามีทรัพย์สินลดลง 11.4 ล้านบาท โดยมีการโอนทองคำหนัก 585 บาท มูลค่า 11 ล้านให้บุตรชายสองคน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ มีทรัพย์สิน 2,933,879,338 บาท เมื่อเทียบกับสมัยยื่นบัญชีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 พบว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 12 ล้านบาท นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม มีทรัพย์สิน 106,309,812 บาท มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 54.2 ล้านบาท โดยได้มรดกเป็นที่ดินย่านพระโขนงที่มารดายกให้ 2 แปลง เมื่อเดือน ธ.ค.57 มูลค่า 54 ล้านบาท