ผบ.ทบ.ส่งทหารฟ้องทักษิณ ส่วนตร.เตรียมเรื่องถอดยศ ‘พันธมิตร’ เจอคุกคนละ 2 ปี! คดียกพวกบุกรุกทําเนียบฯ
“ประยุทธ์” แจงประชาชนแจ้งความตำรวจฟัน ม. 112 “ทักษิณ” หมิ่นประมาทให้ร้ายกองทัพ ฮึ่มไม่หยุดเคลื่อนไหวงัด ก.ม.ฟันอีก โยน สตช.เดินเครื่องถอดยศ ลั่นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่คุยกับ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ย้ำก่อนลงจากหลังเสือต้องฆ่าเสือก่อน “อุดมเดช” ส่ง ผอ.สำนักพระธรรมนูญฟ้อง “ทักษิณ” ข้อหาทำความผิดตาม ม.112 “สมยศ” ตั้ง “ชัยยะ” คุมทีมถอดยศ 1-2 วันหลักฐานครบส่งถึงมือ กมธ.ยกร่างฯจัดคิวรื้อ รธน. “คำนูณ” เผย 2 กมธ.สปช.ยำใหญ่ขอแก้ 334 จุดเหมือนยกร่างใหม่ หวั่นใจร่างแรกไม่ผ่านความเห็นชอบ สปช. ขณะที่ สนช.เสนอแก้ 24 ประเด็น เปิดทางโล่งนายกฯคนนอก-ปิดล็อกตายห้ามแตะ รธน. 5 ปี “อนุพงษ์” ยันล้างทุจริตทั้งระบบ ปลดออกอีกกว่า 30 ราย ขรก.จังหวัดบึงกาฬงาบงบยาฆ่าแมลง
หลังจากกระทรวงการต่างประเทศเพิกถอนพาสปอร์ต 2 ฉบับของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากกรณีไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ กระทบต่อความมั่นคงของชาติ และพาดพิงถึงองคมนตรี เข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายอาญาตามมาตรา 112, 326 และ 328 ล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมดำเนินการพิจารณาการถอดยศด้วย
...
“บิ๊กตู่” โชว์กึ๋นเปิดเวทีเอสแคป
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 พ.ค. ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.กล่าวเปิดการประชุมประจำปีคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) สมัยที่ 7 ตอนหนึ่งว่าเห็นด้วยกับหัวข้อหลักของการประชุมเอสแคปกับการสร้างสมดุลทั้งด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้ เพราะทุกคนต้องตระหนักว่า การพัฒนาที่ได้ผลยั่งยืนที่สุดคือการพัฒนาที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ร่วมวงนักข่าวหม่ำข้าวกลางวัน
ต่อมาเวลา 12.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เดินลงจากห้องทำงาน ตึกไทยคู่ฟ้า ไปร่วมพบปะและรับประทานอาหารกลางวันกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่บริเวณห้องนักข่าวหลังเก่า (รังนกกระจอก 1) เนื่องจาก พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯจัดขึ้นเพื่อแนะนำทีมงานโฆษกฯหลังจากที่ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ อดีตโฆษกฯลาออก โดย พล.อ.ประยุทธ์แวะทักทายและให้คำแนะนำซุ้มอาหารต่างๆ และร่วมลงทะเบียนเซ็นชื่อก่อนรับประทานอาหารเช่นเดียวกับสื่อมวลชน โดย พล.อ.ประยุทธ์อารมณ์ดี เขียนลายเซ็น ตามด้วยช่องตำแหน่งระบุว่า “นรม./ลูกน้องนักข่าว” ส่วนช่องเบอร์โทรศัพท์ พล.อ.ประยุทธ์ เขียนกรอกว่า “ขอใจเธอ” และเขียนเลข 111 ไว้ใต้ข้อความ
บ่นทุกอย่างดีเว้นแต่มีคนไม่ดีอยู่ด้วย
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ นั่งรับประทานอาหารพร้อมให้สัมภาษณ์เปิดใจไปด้วยว่า ประเทศไทยทุกอย่างดีหมด แต่มีคนไม่ดีอยู่ด้วย คนบางคนไม่ได้รับการสั่งสอน จึงทำให้เป็นคนไม่ดี อีกทั้งยังมีการเมืองนำพา และยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศชาติ เรากำลังอยู่ระหว่างแก้ไขวิกฤติ ตนออกมาปฏิวัติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ หากออกมาแล้วไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีประโยชน์ เสียดายเวลา จึงอยากให้คนไทยเข้าใจ การเชิญผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมนีและฝรั่งเศสมาเล่าประสบการณ์ต้องการให้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เพื่อให้อธิบายคนทั้งโลกแทนเรา ตนเสี่ยงชีวิตเข้ามาทำรัฐประหารเพื่อความสงบของบ้านเมือง รัฐบาลทำตามโรดแม็ปแม้มีคนพยายามไม่ให้รัฐบาลเดินไปถึงตรงนั้น แต่ไม่สนใจยืนยันจะต้องเดินตามแผนนำไปสู่การเลือกตั้ง
ยันปี 53 ทหารไม่เคยฆ่า นปช.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่างเหตุการณ์ในประเทศไทยทั้งปี 2553 และ 2556-2557 ผู้ก่อความวุ่นวายให้ประเทศต่างเป็นกลุ่มเดียวกัน ปี 2557 ผู้ชุมนุมต่างประท้วงโดยสงบ แต่ปี 2553 ที่ต้องทำเพราะมีการยิงเจ้าหน้าที่ โดยทำตามกฎหมายจากหนักไปหาเบา 7 ขั้นตอน แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมก่อเหตุอย่างรวดเร็ว ทำให้ทหารบาดเจ็บ ล้มตาย ถูกตี ถูกเหยียบจำนวนมาก ลูกน้องตนก็ไม่เคยว่าจะต้องไปฆ่าใคร เขาไม่ทำหรอก เขาบอกว่าเห็นอยู่ว่ามีการยิงใส่ทหารแต่เขาก็ไม่ทำ เพราะม็อบอยู่ตรงนั้น เราต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญตนฟังทุกฝ่าย การปฏิรูปต้องมีวิธีการ นำคนดีเข้ามาทำงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังพูดอยู่นั้น ผู้สื่อข่าวได้บอกให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดพูดก่อนแล้วมารับประทานอาหาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า “ไม่เอาจะพูด” จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดแบบสบายๆจะได้ไม่เครียด นายกฯตอบกลับมาว่า “นี่สบายแล้ว สบายๆ ผมอยากพูดให้พวกคุณฟัง”
ปรองดองคนผิดต้องรับโทษก่อน
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติโดยให้แกนนำคู่ขัดแย้งที่เป็นต้นเหตุมาเจรจาว่า ทางศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป เรียกมาคุยกันแล้ว เมื่อถามว่าทำไมนายกฯไม่ทำเอง พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ทำไมต้องเป็นตน ถ้าเขามาบอกว่าให้ตนยกโทษทั้งหมด จะให้เขาได้ไหม ซึ่งเขาจะเอาแบบนั้น ทางหน้าสื่อเขาก็แสดงออกมาอย่างนั้น ยกโทษปรองดอง กฎหมายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้น ต้องถามเขาว่ามารับโทษกันหรือยัง ถ้ารับโทษมีเหตุอันควรปรานีหรือไม่ ถ้าจะปรองดองมีพิเศษหรือเปล่า ต้องคุยอย่างนั้น ถ้ามาคุยแล้วบอกให้ยกโทษทั้งหมด แล้วคนที่ตายเจ็บไปเท่าไหร่ จะทำอย่างไร หรือเอาเงินฟาดหัวไปแล้วเลิกมันก็ไม่ได้ คนทำความผิดต้องถูกลงโทษก่อน โดยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การจะได้รับการอภัยโทษ ต้องได้รับโทษมาแล้ว เพียงพอแล้ว จนได้รับความเมตตาจะเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
ในคุกไม่มีแล้วนักโทษการเมือง
เมื่อถามย้ำว่า จะต้องให้คู่ขัดแย้งมานั่งคุยกันอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “โธ่! เขาทำมาตั้งหลายทีแล้ว ตอนนี้เขาก็นั่งคุยกัน แล้วรวมหัวมาเล่นงานรัฐบาลอยู่นี่ไง” เมื่อถามว่า มี สปช.บางคนเสนอให้เขียนเรื่องนิรโทษกรรมไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า วันนี้นักโทษทางการเมืองไม่มีแล้วในคุก มีแต่นักโทษคดีอาญา พูดกันอยู่ได้นักโทษการเมือง มันใช้อาวุธยิงในการประท้วง นี่หรือการเมือง มีการใช้อาวุธปืน ระเบิด แล้วบอกว่าเป็นคดีการเมืองเอามาพันกันหมด ใช่หรือไม่คิดให้เป็นบ้าง
แจงเอาผิด “ทักษิณ” เข้าข่าย ม.112
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศถอนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นการกดดันให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า แล้วแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเคลื่อนไหวก็ทำไปกฎหมายมีอยู่ เคลื่อนไหวอีกก็มีอีก เมื่อถามว่า ผลจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ที่เกาหลีใต้จะถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 112 เพิ่มอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ตนไม่ได้เป็นคนทำ ประชาชนแจ้งความกันมากับทางตำรวจ กองทัพบกก็แจ้งมา เพราะหมิ่นประมาทสร้างความเกลียดชัง พูดจาให้ร้ายกองทัพ ซึ่งมีกฎหมายดำเนินการ เมื่อถามว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ บอกว่าจะคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หากได้กลับมาเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ขึ้นอยู่กับประชาชน และกระบวนการยุติธรรมจะให้กลับมาอีกหรือเปล่า
โยนหน่วยเกี่ยวข้องจัดการถอดยศ
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า มีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ในส่วนของเราทุกคนไม่อยากให้รุนแรงเกินไป เดี๋ยวจะเข้าทาง ถูกกล่าวหาว่ารังแกอยากให้เขาเข้าใจและลดระดับลงไปบ้าง แต่เขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย เดี๋ยวมันก็ถึงขั้นนั้นจนได้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ปฏิบัติ ตนก็ไม่ได้ไปห้าม ถ้าผิดมีปัญหาก็ว่ามา เจ้าหน้าที่ก็ต้องกล้าทำทุกอย่างจะให้ตนตัดสินใจหมดก็จะลงมาที่ตนคนเดียว ถึงอย่างไรก็ลงอยู่แล้ว แต่ควรจะช่วยตนบ้าง “ถ้าผิดจริงก็ทำมา แต่ถามว่าทำไมไม่ทำในสมัยรัฐบาลก่อนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้ววันนี้กลับมาไล่ให้ผมทำ รัฐบาลโน้นเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มมาจากการเลือกตั้งนะโว้ย แต่รัฐบาลฉันไม่ใช่นะ เรื่องนี้ต้องให้หน่วยงานพิจารณามา เช่นเดียวกับการถอนพาสปอร์ต ก่อนหน้านี้เคยถูกถอนแล้วแต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์มาคืนให้ เมื่อทำผิดก็ต้องถอนมันคือกติกาของกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ แต่เรื่องถอดยศ มันหนักนิดหนึ่ง ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วทำไมต้องนำพระองค์ท่านลงมาอีก ตอนนี้พระองค์ท่านก็ถูกอ้างอิงเยอะ สถาบันเสียหายพออยู่แล้ว”
เมื่อถึงเวลาจะใช้อำนาจ คสช.
เมื่อถามว่า มีแนวทางถอดยศ โดยใช้อำนาจจากการทำรัฐประหารหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ได้ ถ้าถึงเวลาแล้วจะทำ ไม่ต้องมาเร่งนักหรอก ต้องเก็บไว้บ้าง แต่ถ้าทำตนก็ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นธรรม ซึ่งอำนาจ คสช.ที่มีตนทำได้ทุกอย่าง แต่ยังไม่ทำ และจะทำเมื่อถึงเวลา ไม่ใช่ไม่ทำการจะทำอะไรก็ตามต้องมีเหตุผล ต้องชัดเจนและมีกฎหมาย ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นรัฐประหารแบบที่ฆ่ากันทั้งประเทศ แบบที่เกิดขึ้นในบางประเทศ
อยู่คนละสถานะไม่คุยกับ “ทักษิณ”
เมื่อถามว่า ตั้งแต่เข้ามาควบคุมอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการติดต่อนายกฯ โดยตรงหรือผ่านใครมาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ไม่เคย จะไปพูดด้วยทำไม พูดไม่ได้ ถ้าติดต่อมาก็ไม่พูด เพราะวันนี้เราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ติดต่อผ่านใครมาก็ไม่ฟัง ถามว่าจะติดต่อเรื่องอะไร หากจะปรับความเข้าใจอะไรตนก็คงไม่มี เพราะไม่ได้เข้าใจผิดอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ท่านทำผิดกฎหมาย วันนี้ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ตนไปเคลียร์เรื่องกฎหมายไม่ได้ ตนเป็นเจ้าหน้าที่ใครทำผิดกฎหมายก็มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มาต่อสู้คดีก็จบแล้ว มันจบตั้งนานแล้ว ถ้ามามันไม่เละขนาดนี้หรอก
เมื่อถามอีกว่า ได้มีการพูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ไม่มี จะพูดเรื่องอะไร มันอยู่ในกระบวนการยุติธรรมหมดแล้ว กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกันทั้งสิ้น ตนก็ทำงานกันมาสิ่งไหนที่สามารถยุติได้ก็บอกว่าไม่ควร แต่ในเมื่อฝืนทำไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เป็นเรื่องของกฎหมาย และบอกว่าตนรับผิดชอบร่วมด้วยไม่ได้
กลับมาช่วงนี้ไม่การันตีปลอดภัย
เมื่อถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กล้าเดินทางกลับประเทศไทย เพราะกลัวตาย กลัวถูกลอบทำร้าย พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือเปล่า ตนไม่รู้ เมื่อถามว่า จะดูแลความปลอดภัยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ถ้าเดินทางกลับมาสู้คดี พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเขามี เมื่อถามย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณกลับในช่วงรัฐบาลนี้ การันตีได้หรือไม่ว่าจะปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ผมไม่การันตี ผมไม่รู้ท่านไปสร้างรอยแค้นกับใครไว้บ้างหรือเปล่า ผมจะรู้หรือไม่ ไปเป็นศัตรูกับใครแค่ไหน แค่ตัวผมเองยังต้องระวังเลย ผมจะไประวังคนอื่นอะไรได้มากมายนัก กลไกก็ดูแลไป มันอยู่ที่ว่าทำให้คนเกลียดแค่ไหน ใช่ไหม ขณะเดียวกันผมอาจทำให้คนเกลียดก็ได้”
ต้องฆ่าเสือก่อนลงจากหลัง
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเครื่องบินส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงสามารถบินเข้ามาในประเทศไทยได้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ถ้ามีจริง ก็ปลดให้หมดทั้งสนามบิน กฎหมายมีอยู่แล้วจะมาได้อย่างไร แต่ถ้าถูกกฎหมายก็มาได้หมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจไหมว่าจะลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “เรื่องนี้ก็แล้วแต่พวกเรา ผมก็ลงเหมือนคนเดินดินปกติ” เมื่อถามต่อว่า ที่ผ่านมาอดีตนายกฯ หลายคนเวลาลงจากหลังเสือก็บาดเจ็บตลอด พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ก็ลงให้เป็นสิ หรือฆ่าเสือก่อนสิ”
ทบ.ยื่นฟ้องแล้วคดีหมิ่นประมาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและ ผบ.ทบ. มอบหมายให้ พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักพระธรรมนูญ กองทัพบก เป็นโจทก์ในนามกองทัพบก ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลอาญา โดยคดีดำเลขที่ 1824/2558 ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 326 และ 328 ซึ่งรวมทั้งการหมิ่นประมาทกองทัพด้วย
รอ ตร.ถอดเทปพาดพิงสถาบัน
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหารบกและรองเลขาธิการ คสช.กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบเทปการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าผิดจริงต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ใช่เฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่โดนคดีนี้ มาตรา 112 มีลักษณะเหมือนกฎหมายหมิ่นฯ ใครไปพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงไปกล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์คงไม่ออกมาฟ้องร้อง แต่เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ปกป้องไม่ว่าสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะดูหมิ่นเรื่องไหนก็ต้องดำเนินการ ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันเราไม่เคยใช้ มาตรา 112 ทางการเมือง คนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ถูกศาลตัดสิน โดยเอาข้อความไปเผยแพร่ เป็นสิ่งที่ไม่จริงไม่เช่นนั้นคงไม่ติดคุก กระบวนการยุติธรรมก็ว่าไปตามพยานหลักฐาน สื่อเองก็อย่าเอาถ้อยคำที่ไม่ดีไปเผยแพร่ เพราะไม่ยุติธรรมกับสถาบันที่เราเคารพรัก อย่าปล่อยให้ใครมากล่าวหา เจ้าหน้าที่เอาจริง จะมาอ้างว่าเป็นคดีการเมืองคงไม่ฟังอีกแล้ว หากคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองก็ไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม