ธนาคารโลก เพิ่งแถลงหั่นจีดีพีประเทศไทยปีนี้ลงเหลือ 1.5% จาก 3% ในรายงาน “แนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก” พร้อมกับ ลดจีดีพีปีหน้า 2558 ลงเหลือ 3.5% จาก 4.5% เนื่องจากภาพรวมการบริโภคและการลงทุนของไทยยังขยายตัวล่าช้า ผมฟังแล้วก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด

ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตต่ำเตี้ยเพราะ พิษการเมืองน้ำเน่า และ ผลกระทบจากโครงการประชานิยม เช่น รถยนต์คันแรก รับจำนำข้าว จนกลไกตลาดบิดเบือนไปหมด กว่าจะฟื้นคืนปกติต้องใช้เวลาพอสมควร

แต่ที่มันเจ็บปวดอับอายขายขี้หน้าก็คือ รายงานธนาคารโลกชี้ให้ชาวโลกเห็นว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน แพ้พม่า เขมร ลาว ญวน ประเทศที่มีจีดีพีเติบโตดีที่สุดคือ พม่า ขยายตัวสูงถึง 8.5% รองมาเป็น ลาว ขยายตัว 7.5% ตามด้วย ฟิลิปปินส์ ขยายตัว 6.4% มาเลเซีย ขยายตัว 5.7% เวียดนาม ขยายตัว 5.4% อินโดนีเซีย ขยายตัว 5.2%

ปีหน้า แม้ธนาคารโลกจะคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะโต 3.5% ก็คงจะล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอีกเช่นเคย ถ้าปัญหาทุกอย่างยังไม่กระเตื้องขึ้น

ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำสุดในอาเซียน แต่ คุณกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสธนาคารโลก ก็ยังยืนยันว่า นักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ไม่เคยลดลงเลยตั้งแต่ปี 2556 ยังเพิ่มขึ้นตลอด แสดงว่านักลงทุนยังเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย นี่คือ “ข่าวดี” ใน “ข่าวร้าย” ที่เป็น “จุดแข็งของประเทศไทย” มาโดยตลอด ซึ่งเกิดจากภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์จากจุดที่ตั้งที่ดีของประเทศไทยนั่นเอง

แม้บ้านเมืองจะถูกนักการเมืองทำลายมาตลอด รวมทั้งเรียกสินบน แต่นักลงทุนต่างชาติก็ยังสนใจเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น วันนี้นักลงทุนต่างชาติยังถือหุ้นอยู่ในตลาดหุ้นกว่า 3 ล้านล้านบาท ยังเข้ามาลงทุนโดยตรงในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน

...

เช่น นักลงทุนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เจโทร ไปสอบถามความเห็นทีไร บริษัทญี่ปุ่นก็ตัดสินใจเลือกลงทุนในไทยเป็นอันดับหนึ่ง ถ้า นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รู้จักใช้โอกาสนี้ แปรความได้เปรียบนี้ให้เป็นโอกาส ในไม่ช้าเราก็จะแพ้เพื่อนบ้านไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ “พม่า” ที่รัฐบาลของเขารู้จักฉกฉวยโอกาสทุกครั้งที่เอื้อต่อพม่า

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาท จำนวน 40,000 ล้านบาท เร่งรัดเบิกจ่ายเงินลงทุนเก่า 1.47 แสนล้านบาท คุณอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก สาขาประเทศไทย มองว่า เป็นแค่มาตรการกระตุ้นระยะสั้น ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งแต่อย่างใด สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งก็คือ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พัฒนาคุณภาพการศึกษา และ พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

แล้วไปดูเรื่อง การศึกษาไทย ที่ผมเขียนด้วยความเศร้าใจมาตลอดดูครับ เมื่อวานนี้เอง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีศึกษาคนใหม่ที่มาจากทหารเรือ เพิ่งพูดถึง “ครู” ที่เป็น “หัวใจของการศึกษา” ฟังแล้วยิ่งหดหู่หนักขึ้นไปอีก ไม่รู้ท่านจะแก้ปัญหาครูได้อย่างไร

สภาพครูไทยวันนี้ รัฐมนตรีศึกษาให้สัมภาษณ์ว่า มีหนี้สินล้นตัว, ไม่อยู่ในห้องเรียน นำเวลาสอนไปทำอย่างอื่น เช่น ธุรการ เตรียมต้อนรับผู้มีบารมีจากพื้นที่การศึกษาและกระทรวง ทำงานประเมินผลการศึกษา ทำผลงานวิชาการของตนเองเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ เตรียมการสอนหลักสูตรที่ตัวเองรับจ๊อบ ทำให้ครูต้องทิ้งนักเรียนอยู่ตามลำพัง ครูไม่เพียงพอ ครูไม่มีคุณภาพ ฯลฯ

แล้วอนาคตเด็กไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อต้องเล่าเรียนกับคุณครูเหล่านี้

ผมไม่อยากเห็น รัฐมนตรีศึกษา พูดแต่ปัญหาที่เป็นอยู่ และไม่เคยได้รับการแก้ไข ผมอยากเห็นท่านลงมือแก้ไขครับ จะทำอย่างไรวิธีไหนก็ได้ วันนี้ คสช.มีอำนาจเต็มที่อยู่แล้ว ถ้ายังแก้ไม่ได้ ก็คงต้องสวัสดีประเทศไทย.

“ลม เปลี่ยนทิศ”