หยี่ว์ซือ เทพแห่งฝน ตามความเชื่อของคนจีนยุคโบราณ มีพลังยิ่งใหญ่เกินประเมินประมาณ

ในหนังสือ 100 เทพและเซียนจีน (อู่ลี่ว์ซิง เขียน ส.สิริวิทย์ แปล สำนักพิมพ์อมรินทร์) บรรยายไว้ว่า พลังดั่งแม่น้ำสีเงินถล่มแผ่นฟ้า รวดเร็วดั่งเมฆาเคลื่อนผ่านทะเล

แม้ฝนจะโปรยปรายลงมาเป็นเส้นสาย แต่หยาดฝนนับพันหมื่นเส้นสาย ก็สามารถรวมตัวจนก่อเกิดเป็นพลังมหาศาล ปานอสุนีบาต ฟาดทำลายได้

หลี่ว์ซือเป็นเทพ แต่ปรากฏในรูปลักษณ์คน และก็มีอยู่หลายคน

ในสมัยพระเจ้าเสินหนง หนึ่งในสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิจีน มีตำนานเล่าว่า เมื่อแม่น้ำแห้งเหือด แผ่นดินแตกระแหงกลายเป็นทะเลทราย ท้องฟ้าก็ไม่มีฝนตกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ต้นกล้าต้นข้าวตายทั่วทุกแห่งหน

คนป่ารูปร่างประหลาด ...เอาหญ้ามาถักเป็นเสื้อ ผูกหนังสัตว์เป็นกางเกงขายาว ผมเผ้ากระเซิง เดินเท้าเปล่า มือถือกิ่งหลิว บางครั้งพูดจาเลอะเทอะ บางครั้งก็ร่ายรำกิ่งหลิวร้องเพลง เหมือนคนวิกลจริต ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับฝนห่าใหญ่

เขาบอกใครต่อใคร เขาชื่อ ฉื้อซงจื่อ ชาวบ้านกลับเชื่อว่าเขาเป็นหยี่ว์ซือ เทพแห่งฝน

ในยุคสงครามระหว่างรัฐ เทพแห่งฝนชื่อ ผิงอี้ ในสมัยราชวงศ์ถัง ชื่อเสวียนหมิง

คำเสวียนหมิง แปลว่าเทพแห่งอุดร และคำอุดร หมายถึงน้ำ ผู้คนสมัยนั้นจึงเชื่อกันว่าเขาเป็นเทพแห่งฝนคนหนึ่ง

เทพแห่งฝนที่กล่าวชื่อเหล่านี้ ไม่มีเรื่องเล่า ทำให้ฝนตกลงมาได้อย่างไร ในหนังสือกู่จินถูซูจี๋เฉิง เขียนถึง หลี่จิ้ง ยอดขุนพล สมัยต้นราชวงศ์ถัง
ยามว่างจากศึกสงคราม หลี่จิ้งมักท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพร เมื่อเหน็ดเหนื่อยเขาก็แวะขอค้างอ้างแรมตามบ้านชาวบ้าน

ดึกสงัดคืนหนึ่ง สตรีนางหนึ่งปรากฏร่างตรงหน้า ส่งเหยือกน้ำเหยือกหนึ่งให้ “สวรรค์จะบันดาลฝนแล้ว ขอให้ท่านโปรดรับภาระนี้ด้วยเถิด” เธอว่า แล้วก็สั่งให้คนรับใช้ จูงม้าลายด่างตัวหนึ่งมาให้

ก่อนลาจากสตรีผู้นั้นเตือนว่า “ท่านโปรดรินน้ำ หยดลงแผงคอม้า เพียงสามหยดเท่านั้น อย่ารินมากกว่านี้”

หลี่จิ้งขึ้นขี่่หลังม้า ทะยานขึ้นบนฟ้าทันที เขาหยดน้ำลงแผงคอม้าไปสิบหยด

พอรุ่งขึ้น เขาจึงเห็นว่า ดินแดนแถบนั้น ถูกน้ำท่วมใหญ่ กลายเป็นผืนน้ำเวิ้งว้างสุดสายตา หลี่จิ้ง จึงรู้ว่าเขาเผลอลืมคำเตือน...หรือที่จริงก็คือ คำบัญชาจากสวรรค์

เรื่องเล่าของหลี่จิ้งแพร่หลาย ผู้คนสร้างรูปลักษณ์ให้เป็น “ชายร่างกำยำ ผมดำ มือซ้ายถือเหยือกน้ำ มือขวาทำท่าสาดน้ำ ในเหยือกน้ำมีมังกรตัวหนึ่ง”

ความเชื่อเทพแห่งฝนหลี่จิ้ง ยังมีต่อมา จนหลังสมัยราชวงศ์เว่ย ราชวงศ์จิ้น ผู้คนก็ลืมเขาไป และยกหน้าที่เทพแห่งฝน ให้เป็นของมังกร
ถึงวันนี้ ผู้คนมักอธิษฐานขอฝนจากพญามังกร

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เกิดพายุฝนใหญ่ในกรุงเทพฯ ฝนหนักขนาดเครื่องบินลงสนามบินไม่ได้ ป้ายโฆษณาใหญ่หักโค่น น้ำท่วมนองหลายท้องถนน

คุณรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรทางน้ำและการเกษตร ออกมาบอกว่า ต้นเหตุของฝนมาจากศูนย์การค้าอาคารบ้านเรือน คอนโดมิเนียม ฯลฯ ที่โหมใช้เครื่องปรับอากาศ

ระดับอุณหภูมิปกติ 37 องศาเซลเซียส เพิ่มสูงขึ้นไปอีก 4–5

องศาเซลเซียส เป็น 42 องศาเซลเซียส ความร้อนที่เกิดในเวลากลางวัน เกาะกลุ่มเป็นรูปโดม เรียกว่า โดมความร้อน

เมื่อลมตะวันตกเฉียงใต้ จากฝั่งธนฯ พัดเข้ามาปะทะกับโดมความร้อน...ทำให้อากาศลอยสูงขึ้น กลั่นตัวกลายเป็นกลุ่มฝน ที่มีระดับความรุนแรง...เพิ่มขึ้น

ความรู้ทางวิชาการ...ฝนหนักเบา...ไม่ได้เกิดจากพลังเทพเจ้า แต่เกิดจากน้ำมือคน

คนที่เผลอหาความสุขให้ตัวเอง แต่ไม่เคยรู้ว่าความสุขที่ว่านั้น บางครั้งก็พลิกผันหันมาทำร้าย ทำลายตัวเอง

เทพแห่งฝนสมัยใหม่ ไม่ได้ปรากฏในรูปลักษณ์คนบ้า..แต่เป็นคนธรรมดา เขาๆ และเราๆหลายคนนี่เอง.

...


กิเลน ประลองเชิง