“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คืออะไร เพิ่งจะมารู้ก็ตอนมาเรียน
ทำนากับโครงการ 1 ไร่ ได้ 1 แสนนี่แหละ มันไม่ได้หมายถึงในน้ำต้องมีปลา ในนาต้องมีข้าว เหมือนที่เราเข้าใจกันมาตั้งแต่เด็ก”
นางสมศรี เพ็งรุ่ง ชาวนาวัย 51 ปี ดีกรีจบปริญญาตรี อดีต ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.โคกใหญ่ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี เผยถึงความรู้สึกที่ได้เป็น 1 ใน 85 เกษตรกรรุ่นแรก ที่เข้าอบรมทำนาเป็นเวลา 5 เดือน ในโครงการ 1 ไร่ ได้ 1 แสน ภายใต้การสนับสนุนของ 4 หน่วยงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), หอการค้าไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.)
ตอนแรกเธอไม่อยากจะมาอบรม เพราะไม่เชื่อว่านา 1 ไร่ จะทำเงินเป็นแสนได้จริง แต่ต้องมาเพราะมีฐานะทางสังคมเป็นประธานศูนย์การเรียนรู้ หมู่บ้านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่คว้ารางวัลการประกวดมามากมาย...เลยจำใจมาท้าพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
ผลที่ได้...ทำนามาหลายสิบปี ปีละ 150 ไร่ แต่เพิ่งจะได้เข้าใจ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หมายความว่าอะไร
“อยู่บ้านเราทำนาปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงปลา ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เศรษฐกิจพอเพียง เรียกว่า ทำทุกอย่างตามที่ทางการแนะนำ มาเรียนทำนาที่นี่เราปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ แบบผสมผสานเหมือนกัน แต่ต่างกันตรง ที่เราเคยทำ จะทำแบบแยกกันอยู่ บ่อปลาก็อยู่ส่วนปลา นาก็อยู่ส่วนนา
แต่ที่นี้ นาข้าวกับบ่อปลา กบ กุ้ง หอย เป็ด เอามาปลูกเลี้ยงรวมอยู่ในพื้นที่แปลงเดียวกัน แบบพึ่งพาอาศัยกันและกัน สัตว์ขี้ออกมาเป็นปุ๋ยให้ต้นข้าว ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลงก็ไม่ต้องซื้อ
เพราะนอกจากจะมีเป็ดมาช่วยกำจัดศัตรูข้าวให้แล้ว สารพัดหญ้าวัชพืชที่เราเคยเห็นเป็นศัตรูตัวฉกาจต้องเผาทิ้ง หรือไม่ก็ใช้ยาฆ่าหญ้าทำลายทิ้ง แต่ที่นี้สอนให้เรามองวัชพืชเป็นมิตร มีประโยชน์สามารถเอามาทำเป็นปุ๋ย เป็นอาหารสัตว์ได้
และการไม่เผาทำลายหญ้าทิ้ง ทำให้ตัวเบียน แมลงกำจัดศัตรูพืชในธรรมชาติ ไม่ถูกทำลาย เราเลยปลูกข้าวอินทรีย์แบบปลอดสารพิษได้โดยไม่ต้องใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ช่วยลดต้นทุนปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ได้มาก”
ถ้าถามว่า 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสน จริงแค่ไหน นางสมศรี บอกว่า สำหรับของตัวเธอตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เพราะยังอบรมไม่จบโครงการ ยังไม่สามารถเคลียร์บัญชีรายรับรายจ่ายได้
แต่มั่นใจได้มากกว่า 1 แสน เพราะเพื่อนคนอื่นที่มาอบรมได้จดบัญชีไว้ สามารถทำได้เกือบ 2 แสนบาท หักค่าใช้จ่ายแล้ว 1 ไร่ น่าจะเหลือเกิน 1 แสน
เพราะการทำนา 1 ไร่ 1 แสน เกษตรกรมีรายได้สารพัด ทั้งจากการขายผัก ขายไข่เป็ด ขายปลา กบ กุ้ง หอย และขายข้าวอินทรีย์ไร้สารพิษ นอกจากจะได้ราคาสูงกว่า ผลผลิตที่ได้ยังสูงกว่าด้วย
“ทำนามาหลายปีไม่เคยเห็นที่ไหนปลูกข้าวได้ผลผลิตมากอย่างน่าตกใจขนาดนี้ อยู่บ้านเนื้อที่ 1 ไร่ ใช้พันธุ์ข้าว 20-30 กก. พันธุ์ข้าว 1 เมล็ด ได้ข้าว 1 ต้น มี 1 รวง แต่ละรวงได้ข้าวแค่ 60-70 เมล็ด
แต่ที่นี่ใช้พันธุ์ข้าวแค่ 2 ขีดครึ่ง และพันธุ์ข้าว 1 เมล็ด ปลูกแล้วแตกกอได้ข้าว 52 ต้น ต้นละ 1 รวง แต่ละรวงได้ข้าวถึง 200 เมล็ด ผลผลิตต่างกันหลายเท่าตัว”
นายเอกชัย เรือนคำ เกษตรกรวัย 19 ปี จาก ต.แม่เงิน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เป็นอีกคนที่ทึ่งกับการปลูกข้าว จากเดิมอยู่บ้านทำนา ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ข้าวกอเดียวกำได้หลวมๆ สบายมือ...แต่ข้าวปลูกเองที่นี่ แต่ละกอมือเดียวกำแทบไม่มิด
จากเคยอยู่บ้าน วันๆเอาแต่ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว กินเหล้า
เชียร์มวยตู้ เสียทั้งเงินทั้งเวลา ชีวิตตัวเองเหมือนไม่มีอนาคต เพราะช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวน มีรายได้แค่พออยู่พอกินไปวันๆเท่านั้น แต่พอมาได้อบรมทำนาแบบนี้ ได้ลงมือทำเอง เห็นผลงานของตัวเอง ทำให้ตอนนี้มีความมั่นใจในอนาคตตัวเองมากขึ้น
“รู้ว่าจากนี้ไป สามารถทำอะไรเป็นอาชีพได้แล้ว กลับไปบ้านจะเริ่มจากเล็กๆก่อน ทำแค่ 1 ไร่ จนอยู่ตัว จากนั้นจะค่อยๆ ขยายพื้นที่ทำเป็น 2-3 ไร่ ทำแค่นี้ผมเชื่อว่าอยู่ได้สบาย”
นางอุทิศ หล่ออินทร์ เกษตรกร อายุ 41 ปี จาก ต.ท่าสะแก อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการพิสูจน์ว่า 1 ไร่ 1 แสน จะได้จริงอย่างไร เลยสมัครเข้าอบรม
ไม่น่าเชื่อว่าเกษตรกรไทยจะมีวิชั่น คิดไกลมองข้ามช็อตไปถึงอนาคตของประเทศชาติ
“ถ้าเกษตรกรไทยทำอย่างนี้กันมาก จะช่วยลดการรุกป่าสร้างที่ทำกินได้ไม่น้อย เพราะพื้นที่แค่ 1 ไร่ ทำเงินได้เป็นแสน ได้มากกว่าการทำเกษตรแบบเดิมที่ใช้พื้นที่หลายสิบไร่
ฉันเองมีนาอยู่ 7-8 ไร่ ให้ผลผลิตแค่พอเก็บไว้กิน รายได้หลักมาจากทำไร่ข้าวโพด ในเนื้อที่บุกเบิกป่า 30 ไร่ ปีที่แล้วลงข้าวโพด ขายได้เงินประมาณ 98,000 บาท หักต้นทุนค่าปุ๋ยค่ายาแล้วเหลือ
40,000-50,000 บาท แต่นี่ต้องลงมือทำเองนะ จ้างคนอื่นไม่ได้ เพราะถ้าจ้าง ค่าแรงจะกินหมดไม่เหลือกำไร”
คิดดู 1 ไร่ ทำเงินได้มากกว่า 30 ไร่ จะช่วยลดการรุกป่าได้ขนาดไหน...เป็นวิชั่นจากสมองชาวนาที่ยากจะหาได้ในกลุ่มผู้บริหารประเทศ
ในขณะที่ชาวนาอย่าง สมศรี ทำนาปีละ 150 ไร่ เป็นนาของตัวเอง 5 ไร่ ที่เหลือเป็นนาเช่าจากนายทุน บอกว่า อบรมจบหลักสูตร 5 เดือน จะกลับไปทำนาแบบนี้ในที่ดินของตัวเองสัก 1 ไร่ นอกจากจะให้เพื่อนชาวนาได้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
ผลผลิตที่ได้จะไม่ขายไม่จำนำ แต่จะเก็บไว้กินเอง เพราะเป็นข้าวอินทรีย์ปลอดภัยไร้สารพิษ...คนในครอบครัวจะได้ปลอดภัยห่างไกลมะเร็ง
ส่วนแปลงนาที่เช่านายทุนจะทำนาใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง เอาไปขายเข้าโครงการรับจำนำเหมือนเดิม
และเมื่อถามว่า ในเมื่อมีที่ทำนามากมาย รายได้จากการขายข้าวเข้าโครงการจำนำ ที่รัฐบาลบอกว่าช่วยให้ชาวนามีรายได้สูงขึ้นนั้นจริงไหม
เธอตอบว่า ก็ได้บ้าง แต่ไม่มากเหมือนที่ว่ากัน...ราคาจำนำที่บอกว่า ตันละ 15,000 บาท แต่พอเอาข้าวไปโรงสี ถูกหักค่าความชื้น ค่าสิ่งเจือปน
ชาวนาดูไม่ออก ตรวจวัดไม่เป็น...ทำไปทำมาได้แค่ตันละ 11,000-11,400 บาท
ในขณะที่สารพัดต้นทุนขยับขึ้นราคายกแผง...แบบเดียวกับประกาศขึ้นเงินเดือน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ของกินของใช้ขึ้นราคาไปรอล่วงหน้า โดยที่รัฐบาลทำได้แค่ให้สัมภาษณ์ ได้สั่งการกำชับให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลแล้ว แต่มิเคยช่วยให้ของถูกลงแต่อย่างใดนั่นแหละ
“ค่าเช่าที่นาก่อนหน้านี้ อยู่ที่ไร่ละ 500 บาท แต่พอรัฐบาลประกาศให้ราคาจำนำสูง ค่าเช่าก็ขึ้นไปเป็นไร่ละ 1,200-1,500 บาท เพราะเจ้าของที่นาอ้างว่า รัฐบาลให้ราคาข้าวดี เขาก็ควรได้ราคาดีด้วย”
ค่าปุ๋ยจากกระสอบละ 700 บาท ขยับเป็น 980 บาท...ค่ายากำจัดศัตรูพืช เคยอยู่ที่ลังละ 2,700 บาท ขึ้นเป็น 4,200 บาท
พื้นที่ปลูกข้าวนาปีนาปรังรวมกันประมาณ 73 ล้านไร่...1 ไร่ใช้ปุ๋ย 2 กระสอบ...10 ไร่ ใช้ยา 1 ลัง
คิดดูก็แล้วกันรับจำนำ นายทุนผูกขาดขายปุ๋ย–ยาฆ่าแมลง และแลนด์ลอร์ดนายทุนที่นาฟันไปกี่หมื่นล้าน...อย่างนี้หรือที่เขา เรียกว่าช่วยชาวนา.
...