คะแนนนิยมทางการเมืองก็เหมือนน้ำขึ้นน้ำลงผลสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองล่าสุดของ “นิด้าโพล” สิ้นเดือนมีนาคมหรือสิ้นสุดไตรมาสแรกปีนี้

มีความเปลี่ยนแปลงแบบน้ำขึ้นน้ำลงอย่างชัดเจน

นายกฯแพทองธาร ชินวัตร หน. พรรคเพื่อไทย พลิกกลับขึ้นมาติดอันดับ 1 ด้วยคะแนนนิยม 30.90 เปอร์เซ็นต์

เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจช่วงสิ้นปี 2567 อีก 2.1 เปอร์เซ็นต์

แซงแชมป์เก่า “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หน.พรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาฯ ที่ได้คะแนนนิยม 25.80 เปอร์เซ็นต์

ลดลงจากผลสำรวจช่วงสิ้นปี 2567 ไป 4.05 เปอร์เซ็นต์

“แม่ลูกจันทร์” ย้อนเข็มนาฬิกากลับไป 1 ปี

ผลสำรวจนิด้าโพลเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2567

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หน.พรรคก้าวไกล ได้คะแนนนิยมล้นหลามถึง 42.75 เปอร์เซ็นต์

โดยมี “อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน” ตามมาห่างๆ 17.75 เปอร์เซ็นต์

และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หน.พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนนิยมแค่หางอึ่ง 6.00 เปอร์เซ็นต์

สรปุว่า 1 ปีผ่านไป คะแนนนิยม นายกฯ แพทองธาร เพิ่มขึ้นถึง 24.90 เปอร์เซ็นต์!!

“จุดหักมุม” คือ “นายพิธา” แคนดิเดต นายกฯพรรคก้าวไกล โดนศาลรัฐธรรมนูญเช็กบิลกระเด็นหลุดวงโคจร

นายณัฐพงษ์ ผู้นำพรรคพลังส้มคนใหม่ ทำให้คะแนนนิยมของนายพิธา ผู้นำพรรคคนเก่า หายไปถึง 16.95 เปอร์เซ็นต์

พูดง่ายๆตรงไปตรงมา “นายณัฐพงษ์” ยังไม่สามารถทดแทนการหายไปของ “นายพิธา” ได้อย่างที่หวังกัน

แต่อย่าลืม...คะแนนนิยมทางการเมืองเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง

หาก นายณัฐพงษ์ หน.พรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ได้มีโอกาสแสดงบทบาทการเมืองให้เข้าตาประชาชน

คะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์ จะเพิ่มขึ้นๆๆอย่างแน่นอน!!

...

“แม่ลูกจันทร์” มองแง่ดี...แม้คะแนน นิยมตัวบุคคลของ “นายณัฐพงษ์” ไม่เปรี้ยงปังเท่า “นายพิธา” ผู้นำพรรคคนเดิม

แต่คะแนนนิยมต่อพรรคประชาชน (พรรคก้าวไกล) ยังครองแชมป์ตลอดกาล

ยังสามารถรักษาช่วงห่างระหว่างพรรคอันดับหนึ่งกับพรรคอันดับ 2 ได้อย่างเหนียวหนึบเกินห้ามใจ

แม้ต้องเปลี่ยนชื่อพรรคมาแล้ว 3 ครั้ง เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคไปแล้ว 4 คน

คะแนนนิยมต่อพรรคพลังส้มยังไม่แผ่วปลาย

และพรรคเพื่อไทยยังไล่ตามไม่ทัน

แต่ถ้าย้อนเข็มนาฬิกากลับไป 1 ปี

ช่วงนั้นคะแนนนิยมพรรคก้าวไกลกระเด้งไปถึง 48.45 เปอร์เซ็นต์

พรรคเพื่อไทยตะกายตามมาห่างๆ 22.10 เปอร์เซ็นต์

ล่าสุดคะแนนนิยมพรรคประชาชนลดลงเหลือ 37.10 เปอร์เซ็นต์

แต่คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยไม่เพิ่มขึ้นไม่ลดลง

สรุปว่าเวลา 1 ปีผ่านไประยะห่างระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยแคบลง จาก 22.10 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 9.05 เปอร์เซ็นต์

โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะแซงปาดหน้าพรรคประชาชนจึงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะฉีกหนีพรรคเพื่อไทยก็เป็นไปได้เช่นกัน

เพราะพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยต้องตัดคะแนนกันเอง

ปล่อยให้พรรคประชาชนยืนเด่นๆ โดดๆอยู่พรรคเดียว

แบบนี้ก็หวานคอแร้งน่ะซีโยม.

แม่ลูกจันทร์

คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม