กำลังเป็นเรื่องทอล์กในโลกโซเชียล จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ของ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ระบุว่า นายกฯ แพทองธาร มีหนี้ 9 รายการ มูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาท เป็นตั๋ว PN (ตั๋วสัญญาใช้เงิน) ที่นายกฯใช้ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อเชื่อโดยออกเป็นตั๋ว PN ไม่มีกำหนดว่าจะจ่าย เงินค่าซื้อหุ้นกันเมื่อไหร่ และไม่มีการคิดดอกเบี้ย ถ้าตั๋วพีเอ็น 9 ใบนี้ เป็นจริงก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของนายกฯแพทองธาร เป็นการทำนิติกรรมบังหน้า
เรื่องนี้มีผู้รู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย เช่น คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีคลัง ประธานวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลัง แม้นายกฯจะชี้แจง ว่า “เดี๋ยวปีหน้าก็จะเคลียร์หนี้แล้ว” และได้รายงานหนี้ส่วนนี้กับ ป.ป.ช.แล้ว แต่ คุณกรณ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากมีการทำนิติกรรมอำพราง ความผิดได้สำเร็จไปแล้ว
สรุปแล้ว นายกฯแพทองธาร พี่สาว พี่ชาย คุณลุง คุณป้าสะใภ้ มีใครต้องเสียภาษีหรือไม่ ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์กฎหมายภาษีอากร ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง iTAX ได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว อธิบายว่า ถ้าดูตามหน้ากระดาษ ธุรกรรมนี้คือสัญญาซื้อขาย ท่านนายกฯในฐานะผู้ซื้อ ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนคนขายเป็นคนได้ตัง เลยต้องเป็นคนเสียภาษี แต่เรื่องนี้มี 2 ประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อน คนขายอาจไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ เช่น ขายหุ้นให้นายกฯในราคาเท่าทุน ไม่ได้กำไร ก็ไม่ต้องเสียภาษี
ในกรณีที่ ขายหุ้นได้กำไรจริง แต่ยังไม่ได้เงินจริง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีหลักการรับรู้เงินได้ตามเกณฑ์เงินสด (cash basis) แปล ง่ายๆ คือ ได้เงินจริงปีไหน ค่อยให้เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในปีนั้น กรณีของนายกฯ ไม่ได้ชำระเป็นเงินสด โอนเงิน หรือจ่ายเช็ค มีเพียงตั๋วพีเอ็น ที่บอกว่า ติดเงินไว้ก่อนนะ ไว้คนขายอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็แวะมา ดังนั้น ตราบเท่าที่คนขายยังไม่ได้เงิน ก็ยังไม่มีกำไรต้องนำไปเสียภาษี
...
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า จุดนี้จะมองว่า “เป็นช่องสุญญากาศของกฎหมาย” ก็ได้ ที่จริง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งใจใช้เกณฑ์เงินสดเพื่อความสะดวกและเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดาจึงได้ประโยชน์จากการปรับใช้กฎหมายแบบนี้ งานนี้ถ้าคนขายเป็นบริษัทจะใช้เกณฑ์อีกแบบ ต้องเสียภาษีทันทีที่ขายได้กำไร แม้จะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม
ผศ.ดร.ยุทธนา ได้ตั้งคำถามว่า ถ้าโอนหุ้นให้โดยไม่ได้เงิน และคนขายก็ดูไม่มีวี่แววจะทวงเงินด้วย เราควรจะมองธุรกรรมนี้เป็นการให้เปล่ามากกว่าไหม? ถ้าเป็นการให้เปล่าจริง นายกฯจะกลายเป็นคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทน
โดยปกติ การได้รับทรัพย์สินมาเปล่าๆ เช่น โอนหุ้นมาให้เฉยๆ ถ้าปีหนึ่งได้รับไม่เกิน 10 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าคนให้เป็นบุพการี คู่สมรส หรือลูกหลาน จะได้ขยายเพดานเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท) แต่ถ้าได้รับเกินกว่านั้น จะต้องเสียภาษีการรับให้ 5% ของส่วนเกินดังกล่าว เช่น สมมติว่าพี่สาวโอนหุ้นให้ท่านนายกฯมูลค่า 2,388.7 ล้านบาทภายในปีเดียว โดยไม่มีค่าตอบแทน พี่สาวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ท่านนายกฯเองนั่นแหละที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษี ในฐานะผู้ที่ได้รับทรัพย์สินมูลค่าเกิน
10 ล้านบาท ในคราวเดียว แต่ถ้าพี่สาวทยอยให้หุ้นท่านนายกฯปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท ทั้งท่านนายกฯและพี่สาว จะไม่มีใครต้องเสียภาษีเลย สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพียงแต่ว่ากว่าจะโอนหุ้นให้จนหมดอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 239 ปี
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุด้วยว่า กรณีของท่านนายกฯอาจเรียกได้ว่า เป็นการวางแผนภาษีแบบดุดัน (Aggressive tax planning) คือ วางแผนภาษีแบบรัดกุมสุดๆ และถูกกฎหมายทุกประการ แต่ขัดใจ ความรู้สึกของใครหลายคน และมองว่า เป็นการเลี่ยงภาษี (Tax avoidance) โดยการใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย
ผมก็เก็บข้อมูลจากผู้รู้มาเล่าสู่กันฟัง เป็นความรู้เรื่องภาษี ถ้า กรมสรรพากร ไม่เร่งอุดช่องโหว่ตรงนี้ จะมีคนเลียนแบบนายกฯ แพทองธาร กันมากมายแน่นอน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม