“กัณวีร์” ซัดรัฐบาลบินจีนเยือนอุยกูร์ เหมือนละครคุณธรรมฟอกขาวตนเอง ความจริงพาประเทศเข้าสู่ความขัดแย้ง “ภูมิธรรม” ซัดกลับโกหก ทุกคนสมัครใจกลับ มีหลักฐานยัน ก่อนสภาเดือดอีกรอบเพราะ “กีกี้” หลังเข้าใจไปคนละความหมาย
วันที่ 24 มีนาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 วาระพิจารณาญัตติเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันแรก นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศที่ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก กระทบผลประโยชน์ของชาติ รวมถึงความเชื่อมั่นในการลงทุน รัฐบาลชุดนี้ที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และยังได้อภิปรายถึงผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 ชีวิต ที่ถูกส่งกลับไปประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568
นายกัณวีร์ กล่าวเริ่มต้นว่า ขอนำเสนอภาพยนตร์เรื่อง โลกหลายใบแต่ให้ “นาย” คนเดียว ตลอด 73 วัน แห่งการโกหก เล่นละคร ที่ประกอบไปด้วยตัวละคร เช่น นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอีกหลายๆ คน พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยตามมาตรฐานสากล มี 3 วิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน คือ การเดินทางกลับโดยสมัครใจ, อยู่ที่ประเทศที่ลี้ภัย หรือตั้งถิ่นฐานใหม่ประเทศที่สาม แต่รัฐบาลไทยกลับเลือกส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ซึ่งมีเส้นบางๆ ในสิ่งที่ทำอยู่ ระหว่างการเดินทางกลับโดยสมัครใจ หรือการผลักดันบังคับกลับประเทศต้นทาง อีกทั้งนายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าชาวอุยกูร์มีความสมัครใจกลับ ไม่อย่างนั้นต้องถูกลากขึ้นไปแล้ว
...
ทั้งนี้ ภายหลังรัฐบาลส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน แม้มีข้อมูลยืนยันว่าพวกเขาถือสัญชาติตุรกี โดยกระบวนการเริ่มตั้งแต่ 7 มกราคม 2568 เมื่อจีนขอตัว 45 คน ขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ถ่ายภาพและให้ลงชื่อในเอกสารบางอย่าง พร้อมเปิดเผยคลิปเสียงการร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ โดยเจ้าหน้าที่ สตม. อ้างว่าจะไม่มีการปล่อยตัวกลับจีน แต่ในวันที่ 17 มกราคมที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ แม้ฝ่ายการเมืองบางส่วนปฏิเสธไม่รับรู้ ต่อมา สตม. อนุญาตให้สถานทูตจีนเข้าพบผู้ต้องกัก ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเข้าหารือเรื่องนี้กับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน กระทั่งวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 02.14 น. ขบวนรถของกรมราชทัณฑ์ขนชาวอุยกูร์ออกจากสถานกักตัวและขึ้นเครื่องไปซินเจียง ซึ่งผิดระเบียบปฏิบัติปกติ รัฐบาลไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาถึง 6 ครั้ง ก่อนที่ฝ่ายความมั่นคงต้องออกมาแถลงยอมรับในช่วงค่ำ ขณะที่คำขอหลักฐานยืนยันความสมัครใจ เช่น ภาพจาก CCTV ถูก สตม. แจ้งว่าไม่มีบันทึกไว้

นายกัณวีร์ อภิปรายต่อไปว่าวันที่ 18-20 มีนาคม 2568 ตัวแทนรัฐบาลเดินทางไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ประเทศจีน ถือว่าเป็นละครคุณธรรมปลายปิด มองว่าเป็นการไปเพื่อฟอกขาว รู้เลยว่าชาวอุยกูร์ 2 คน จาก 5 คนที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ไปพบ ท่านรู้หรือไม่ว่าลูกเมียเขาอยู่ที่ไหน พวกเขาไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ประเทศที่สามเมื่อปี 2558 แล้วท่านคิดว่า เขาจะกลับไปพบครอบครัวกับใคร
“การผลักดันชาวอุยกูร์กลับจีนทำให้รัฐบาลไทยได้รับผลกระทบหลายอย่างในเวทีโลก ผมเคยอภิปรายว่าการตระบัดสัตย์ในประเทศเลวร้ายแล้ว แต่การตระบัดสัตย์ในเวทีระหว่างประเทศเลวร้ายยิ่งกว่า เป็นเหตุให้ไทยถูกประณาม เสียทั้งภาพลักษณ์และผลประโยชน์ เหตุใดเราจึงต้องเอาตัวไปอยู่ท่ามกลางการเมืองระหว่างประเทศ เราควรมีจุดยืนที่มั่นคง แต่ผมยังไม่เห็นหนทางใดจะให้ไทยหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้”
พร้อมระบุด้วยว่า นายกรัฐมนตรีและคณะที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์ทำผิดมหันต์ พาประเทศไปอยู่ขอบหน้าผาที่พร้อมจะตกได้ตลอดเวลา ท่านเย้ยหยันหลักยุติธรรมจนทั่วโลกร่วมประณาม และประเทศที่ไปทำดีลไว้ยังลดความน่าเชื่อถือของท่าน นโยบายการต่างประเทศของไทย เขียนด้วยมือและลบด้วยเท้าที่สกปรกของพวกท่าน ท่านไม่รักษาคำพูดและจุดยืนในการจะไม่ไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง การกระทำของท่านเตรียมการไว้อย่างเลือดเย็น เปรียบเสมือนอาชญากรรมข้ามชาติ มีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างยาวนาน สิ่งเหล่านี้คืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โลกเห็นแต่ไทยไม่เห็น ทำผิดกฎหมายหลายข้อทั้งของไทยและต่างประเทศ หากท่านไม่สามารถหาหลักฐานความสมัครใจของชาวอุยกูร์ได้ ละครคุณธรรมของพวกท่านก็จะได้ผลแค่กับพวกท่านเอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างอภิปราย นายภูมิธรรม และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มานั่งฟังการอภิปรายในครั้งนี้ด้วย

“ภูมิธรรม” ซัดกลับ “กัณวีร์” โกหก
ต่อมาเวลา 20.28 น. นายภูมิธรรม ชี้แจงว่าตนเองถูกพาดพิงหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปจีน และกล่าวหารัฐบาลสารพัด ขอใช้คำพูดว่านายกัณวีร์เป็นนักโกหกตัวยง กล่าวหาเลื่อนลอย แสดงออกโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงของชาติ ใช้แต่จินตนาการ พูดแล้วเหมือนไม่รักประเทศ มาวิจารณ์คนอื่นว่าเป็นนักต้มตุ๋น ถ้าข้อกล่าวหาชี้นิ้วมาที่ตนก็จะกลับไปที่ตัวนายกัณวีร์ ทั้งนี้ ปัญหาชาวอุยกูร์ตกค้างมานานมาก เขาผิดที่เข้าประเทศผิดกฎหมาย โทษอย่างมาก 2 ปี แต่รัฐบาลไทยกักขังไว้ถึง 11 ปี ผิดมนุษยธรรม แต่ไทยอยู่บนทาง 2 แพร่ง รัฐบาลที่ผ่านมาไม่กล้าตัดสินใจ แต่รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ปัญหา นายกรัฐมนตรีสั่งการ แก้ได้ให้รีบแก้ อย่าปล่อยให้เผชิญปัญหาแล้วไม่ได้ทำอะไร เรามีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เราขังเกินกว่าโทษที่เขาจะได้รับ ตนเศร้าใจที่ได้ยินบางคนในฝ่ายของท่านบอกว่า ทำไมไม่เก็บไว้ในคุกแล้วต่อรองกับอเมริกา พร้อมขอว่าอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า ขอให้มองเห็นความเป็นมนุษย์
นายภูมิธรรม ระบุต่อไปว่า เรามีทางเลือก 3 ทาง 1. ขังต่อไป ซึ่งไม่สมควร แม้จะปฏิบัติดีอย่างไรก็ตาม แต่มันก็ทรมาน คนเราอยู่ในคุก กรงขัง ห่างบ้าน ถ้าไม่เคยอยู่ในสภาพนี้ไม่รู้ความทุกข์ 2. ส่งไปประเทศที่สาม ทำไมไม่มีใครขอเขากลับไป ไม่มีใครให้สิทธิผู้ลี้ภัย องค์การระหว่างประเทศยังไม่ใยดี มีแต่คนพูด ไม่รู้ว่าความเป็นจริงทำได้อย่างไร ไม่มีจดหมายทางการมาขอรับตัว และเรื่องการไปประเทศที่ 3 เป็นเรื่องการเพ้อฝัน 3. ที่บอกว่าไม่ใช่ชาวจีน ตนมีหลักฐานหมดว่าทั้ง 40 คนเป็นชาวจีน ท่านบอกว่าเขาไม่สบายใจ ถูกบังคับ เอาจดหมายปลอมมาพูด ตนมีหลักฐานแน่นอนว่า 40 คนนี้สมัครใจ เอาหลักฐานมาเปิดได้ เรื่องนี้เราไม่เคยสบายใจ ทูตประเทศต่างๆ มาเจอ เขาห่วงใย แต่เขาเข้าใจหลังเราชี้แจง เขามีวุฒิภาวะ เขายืนอยู่กับความเป็นจริง ข้อเท็จจริง ไม่ใช่อยู่กับจินตนาการ ต้องหันกลับมองตัวเองว่าคนมีปัญหาคือใคร

ตนเองรู้ว่ามีคนเป็นห่วงที่ส่งกลับจีน จึงเป็นที่มาที่เราดำเนินการหลายเรื่อง ขอให้รัฐบาลจีนออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการ Diplomatic Notes (จดหมายโต้ตอบทางการทูต) ท่านคงไม่ได้จบทางการต่างประเทศ ถ้าท่านไม่รับ อย่ามีความสัมพันธ์กับเขาเลย ประเทศมหาอำนาจพูดโดยหนังสือว่าจะไม่ทำร้ายเขา นอกจากที่เราพยายามขอให้ดำเนินการ จีนยังดำเนินการอีกหลายเรื่อง นายกรัฐมนตรีเราไปคุยกับผู้นำระดับสูงของจีน เขาพูดว่าเขาอยากแก้ไขปัญหา เขารับประกันจะทำอย่างดีที่สุด ไม่จับเข้าคุกเข้าตาราง
“ท่านฟังอย่างนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีและไปคุยกับผู้นำระดับสูงของประเทศที่เป็นมหาอำนาจหนึ่ง และยืนยันกับท่านแบบนี้ ท่านจะเชื่อฟังได้ไหม แต่ผมว่าท่านไม่รู้หรอก เพราะท่านไม่เคยเป็นรัฐบาล เคยเป็นแต่ฝ่ายค้าน แล้วก็พูดแต่เรื่องวิจารณ์ เอาจินตนาการมาด่าคนอื่น”
ทั้งนี้ เราวางระบบกลไกไว้ 5 ประการ
1. การตกลงใจของเราอยู่บนพื้นฐานของการมีอำนาจอธิปไตยของไทย
2. เป็นตามกรอบกฎหมายภายในประเทศ
3. คำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยในกรอบของมิติความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ และความมั่นคงแห่งชาติ
4. เป็นไปตามหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะหลักการที่จะไม่ส่งคนไปยังที่อันตราย หรือ Non-refoulement รวมทั้งพันธกรณีของไทยตามหลักการที่จะไม่ส่งคนไปเผชิญกับการทรมานหรือการที่จะถูกทำให้สูญหาย
5. เป็นการพิจารณาโดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบคอบ
นายภูมิธรรม ระบุต่อไปอีกว่า ท่านไม่เคยคิดจะเข้าใจสิ่งที่เป็นความตั้งใจของรัฐบาล ไม่เข้าใจความคิดความต้องการของคนอื่น คิดแต่ตัวเอง หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง สนใจแต่เรื่องตัวเอง
ขณะนั้น นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน ประท้วงว่ามีการใช้กิริยาพูดจาเสียดสี อยากให้รัฐมนตรีชี้แจงในเนื้อหาและเป็นประโยชน์ ทางด้าน นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม วินิจฉัยว่า ผู้อภิปรายก็อภิปรายเสียดสีเช่นเดียวกัน ขอความกรุณาท่านรัฐมนตรีชี้แจงด้วยความสุขุมรอบคอบ


“กีกี้” เป็นเหตุรอบ 2 ประท้วงวุ่น ประธานฉุนสั่งทุกคนนั่ง
โดยนายภูมิธรรม ตอบกลับว่า “ผมว่าผมใช้ความสุขุมรอบคอบมากที่สุดแล้ว ผมยังไม่เคยใช้คำว่ากีกี้ไปว่าสตรีเหมือนกับที่ผู้นำฝ่ายค้านพูด เอ้ย ตัวแทนฝ่ายค้านพูด ซึ่งเป็นคำที่หยาบคาย หยาบโลน สกปรกที่สุด เรายังไม่พูดเลย” ทำให้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ถอนคำพูดที่อาจจะเข้าใจผิด ซึ่งนายภูมิธรรม ขอถอนว่าไม่ใช่ผู้นำฝ่ายค้าน หมายถึงฝ่ายค้านบางคนที่พูด
จากนั้น นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ประท้วงว่ารัฐมนตรีเสียดสีและใส่ร้ายป้ายสี โดยเข้าใจว่ารัฐมนตรีหมายถึง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งอาจจะเข้าใจผิดในความหมายของคำว่ากีกี้ แต่โดยประธานปิดไมโครโฟนก่อนว่าเดี๋ยวจะไม่จบ และไม่อนุญาตให้ประท้วง เพราะกำลังไปด้วยดี และได้เตือนรัฐมนตรีแล้ว พร้อมเชิญให้นายปกรณ์วุฒิ นั่งลง
นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ประท้วงว่า ขอให้ประธานวางตัวเป็นกลาง และให้ประธานวิปฝ่ายค้านอธิบายให้จบก่อน โดยประธานระบุถือว่าพอสมควร จากนั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า รัฐมนตรีกล่าวหาความหมายที่ผิดเพี้ยนจาก นายวิโรจน์ กล่าวว่าเหยียดเพศ จึงขอให้ถอน ทางด้านประธานกล่าวว่าถ้าจะให้ถอนคำว่ากีกี้ ก็ต้องถอนตั้งแต่เช้า และขอให้ผู้ประท้วงหลายคนนั่งลง ซึ่งนายภูมิธรรม กล่าวต่อไปว่าอยากพูดสาระเรื่องอุยกูร์ และคำว่ากีกี้ นายวิโรจน์พูดจริง ให้ประชาชนไปเปิดกูเกิลดู คำอธิบายชัดเจน แต่ขอถอนคำนี้ให้ ตนตกใจว่าใช้คำพูดเช่นนี้กับนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร โดยประธานขอให้อภิปรายต่อ ขอให้ไปตีความกันเอา และปรามให้พอ รัฐมนตรีถอนก็คือถอน ท่านไม่ได้เหลี่ยม ท่านกลม โดยในช่วงนี้นายกรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ


ในเวลาต่อมา นายวิโรจน์ ตะโกนขึ้นว่าต้องให้ตนเองชี้แจง แต่ประธานสั่งให้ทุกคนนั่งลง และสีหน้าเริ่มมีอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นยืน เมื่อที่ประชุมกลับมาอยู่ในความสงบ ก่อนจะกล่าวหลังนั่งลงว่า รัฐบาลใช้เวลาไป 1.21 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน 9.11 ชั่วโมง เราเสียเวลาที่ฝ่ายรัฐบาลประท้วงไป 30 กว่านาที ฝ่ายค้านประท้วงเกือบ 40 นาที ประท้วงมาก ประธานก็ใช้เวลาวินิจฉัยมาก ทราบหรือไม่ประธานเหลือเพียง 3 นาที และการประท้วงประชาชนที่ติดตามไม่อยากเห็น หากเอาเวลาที่ประท้วงไปอภิปรายเพิ่มประชาชนได้ประโยชน์ เรื่องไร้สาระอย่าให้รกสภาฯ เลย อย่าสร้างความกังวลใจให้ประชาชนมากไปกว่านี้
นายภูมิธรรม จึงกลับสู่การชี้แจงโดยไม่มีการประท้วงว่า รัฐบาลคำนึงถึงทั้ง 5 ข้อ เราใช้เวลาเคลียร์กับทุกส่วนในการหาทางออกให้กับประเทศ แต่ละประเทศที่มาพอสนใจเรื่องอุยกูร์ เราไม่เคยเลือกข้าง เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง เราไม่อาจเลือกข้างใครได้ เรากำลังเลือกให้ประเทศไทยอยู่รอด อยู่ต่อไปได้ นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ได้ช่วยกันพิจารณาดู รัฐมนตรี 9 กระทรวง รวมถึงเลขา สมช. ผู้แทนกองทัพ ผบ.ตร. ผบ.ทสส. ร่วมกันใช้เวลาหารือข้อกฎหมาย เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นความขัดแย้งเหล่านี้ หากไปดูในโซเชียลประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการตัดสินใจที่รัฐบาลกล้าเอาประเทศออกจากวิกฤติ


แนะอยู่กับความจริง อย่าอยู่กับจินตนาการ
ก่อนจะย้ำว่านายกัณวีร์โกหกหลายเรื่อง ตนตัดสินใจไปซินเจียงอุยกูร์ทั้งที่อายุ 70 กว่าปีแล้ว การเดินทางไปลำบาก แต่ก็ไปให้เห็นกับตา ไม่อยากจินตนาการ ผู้บัญชาการระดับสูงก็ไปหลายคน สื่อมวลชนก็ไป ใครกล่าวหาว่าครอบงำสื่อก็เกินไป มาโวยวายเรื่องเบลอหน้า เพราะเขาผ่านพ้นชีวิตที่ลำบากมากแล้ว อยากอยู่กับความสงบ จะให้เปิดหน้าแล้วถูกวิจารณ์หรือ ไปถามผู้สื่อข่าวที่ไปก็ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่รู้จะอย่างไร ต้องอยู่กับความจริง เราไปหาชาวอุยกูร์ 12 คน หรือต้องให้ไปหา 40 คนเลยหรือไม่ ถ้าไม่เชื่อก็ไปเจอเลยจะได้รู้ความเป็นจริง ตนสะเทือนใจ เขามากอดขอร้องและร้องไห้ คุณอาจจะไม่เคยเจอ ขอให้อยู่กับความเป็นจริง ช่วยกันแก้ไขปัญหาของประเทศ ที่ท่านพูดมาทำร้ายประเทศ ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น แต่ตนมีความพยายาม ดีไม่ดีก็ไปประเมินกัน
อีกทั้ง 1-2 เดือนหลังจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไปดู ทูตไทยจะไปดูตลอดระยะ พร้อมถามว่าพอใจหรือยัง หรืออยากให้ประเทศเสียไปกว่านี้ รัฐบาลพยายามหาทางแก้ปัญหาเต็มที่ รู้หรือไม่ว่าชาวอุยกูร์นับถือมุสลิมแบบไหนเขาเป็นมุสลิมสายปฏิรูป ทำไมไม่ตั้งใจใช้สติฟังแล้วพิจารณา สิ่งที่ท่านตั้งคำถามขัดแย้งกับชาวโลก จนภูมิใจที่ได้ทำ กล้าตัดสินใจแก้ปัญหาทั้งภายในประเทศและมนุษยธรรมจริงๆ ไม่ใช่มนุษยธรรมจอมปลอม วันนี้เราอยู่ในเวทีสภาฯ ประชาชนดูอยู่ ตนไม่กลัวเพราะพูดจริงทั้งหมด ไม่อยากให้เอาจินตนาการมาเป็นความจริง ไม่สง่างาม ตนผิดหวัง เคยเคารพพวกท่าน แต่เห็นอาการที่คิดแต่จะเอาชนะ ไม่รับฟังเหตุผลคนอื่น เรื่องอุยกูร์ท่านพลาดจริงๆ ไม่ใฝ่หาความจริง ขอให้เก็บเป็นบทเรียน และมาทำการเมืองที่สร้างสรรค์ อยากเห็นอย่างนั้น เราไม่กลัวการตรวจสอบ ถ้ายืนบนความเป็นจริง พูดด้วยเหตุผล มีสติเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
นายกัณวีร์ ใช้สิทธิพาดพิงระบุว่า แม้ตนไม่เคยบริหารประเทศ แต่เคยบริหารองค์การระหว่างประเทศ ท่านเคยเป็นผู้บริหารองค์การระหว่างประเทศหรือไม่ ท่านไม่แก้ปัญหาแบบยั่งยืน ไม่รู้ว่าแก้ปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไร หาว่าตนโกหก เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่มาชี้แจงในกรรมาธิการแจ้งว่ามีรัฐบาล 3 ประเทศบอกว่าสนใจ ตนไม่ได้จินตนาการ พร้อมถามกลับว่าท่านรู้หรือไม่ประเทศไทยมีผู้ลี้ภัยหรือเปล่า

ขณะนั้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า นี่ไม่ใช่การโต้วาที รองนายกรัฐมนตรีตอบไปแล้ว โดยประธานชี้แจงว่าให้นายกัณวีร์ใช้สิทธิพาดพิงเพราะเสียหายในหลายคำพูด ซึ่งนายกัณวีร์ ขอบคุณประธานก่อนกล่าวต่อไปว่า ความสมัครใจของผู้ลี้ภัยผู้ต้องกักอยู่ที่ไหน ไม่เคยสนใจในเรื่องว่าอยู่ดีมีสุข แต่เรื่องนี้กระทบประเทศเยอะ ต่อมายังเกิดการประท้วงขึ้นอีกจาก น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงประธาน เข้าใจว่าให้สิทธิพาดพิง แต่ต้องเป็นประเด็นที่เสียหาย ตอนนี้เป็นการเพิ่มประเด็นใหม่ ทางด้านประธานบอกว่าได้วินิจฉัยแล้ว ขณะที่ นายกัณวีร์ บอกว่าถ้าไม่อธิบายจะทำอย่างไร โดยกล่าวหาว่าโกหก ตนเป็นนักมนุษยธรรม ต้องการจะเห็นเรื่องความสมัครใจของผู้ลี้ภัย
อย่างไรก็ตามในเวลา 21.11 น. นายภูมิธรรม ตอบกลับอีกครั้งว่า นายกัณวีร์ไม่สนใจสิ่งที่ตนพูด บอกแล้วว่าเขาสมัครใจ ยังมากล่าวหา ถ้าตั้งใจฟังบอกไปแล้วว่าท่านโกหก เพราะตนมีหลักฐานทั้งหมดว่าเขาสมัครใจไป อย่ามาตีโพยตีพาย ขอให้นัดมา ประธานจึงบอกว่าก็นัดกันไปตามที่รองนายกรัฐมนตรีแจ้ง จึงจบการชี้แจง และต่อด้วยการชี้แจงของนายกรัฐมนตรี.
(ภาพ : ศรันย์ พงษ์สวัสดิ์)