การโยงชื่อ “เฉลิม อยู่บำรุง” กลางวงอย่างนี้แม้จะอภิปรายจริงหรือไม่จริงแต่ก็มีผลด้านจิตวิทยาไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นผู้ซักฟอกเพียงคนเดียว เนื่องจากทุกคนล้วนทราบดีว่าพิษสงนั้น...แค่นั้น
อย่างน้อยๆก็คงทำให้ขวัญผวาแหละ...
ไม่ใช่แค่นายกรัฐมนตรี บรรดาองครักษ์ทั้งหลายก็คงตาลี ตาเหลือกวางแผนแก้เกมอย่างกะทันหัน เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นก่อนการอภิปรายไม่กี่วันเท่านั้น
และอีกคนที่ต้องพะวงในเรื่องนี้ก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” เพราะต่างก็ทราบดีว่าคนอย่าง “ขุนศึกฝั่งธนฯ” นั้นแค่ไหน
ไม่เอาเป็นมิตรก็อย่าเป็นศัตรูดีกว่า เพราะมันไม่คุ้ม
แม้วันนี้ด้วยวัยและสุขภาพไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยังมีเขี้ยวเล็บที่แหลมคมอยู่ ยิ่งเกิดปัญหาขัดแย้งกันเรื่อง “วัน อยู่บำรุง”
ลูกชายที่ต้องออกจาก “เพื่อไทย” ไปอยู่กับ “ลุงป้อมบ้านป่า” นั้น
เป็นแค้นที่ลืมไม่ได้เด็ดขาด
ก็เป็นสีสันก่อนศึกซักฟอกจะเริ่มขึ้น!
อย่างที่บอกการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นครั้งนี้นั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่ “ข้อมูล” ว่าจะมีทีเด็ดแค่ไหนที่จะเล่นงานให้อยู่หมัดได้
ผลพลอยได้ที่จะตามมาก็จะมีอยู่ 3 ประเด็น
1.วุฒิภาวะ
2.ภาวะความเป็นผู้นำ
3.ความรู้ความสามารถ
เพราะทั้ง 3 เรื่องนี้จะวัดถึงความเป็นผู้นำประเทศว่ามีความเหมาะสมแค่ไหน เนื่องจากการได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้
ไม่ได้ใช้คุณสมบัติทั้ง 3 ประการเป็นตัวชี้วัด
แต่เพราะความเป็น “ลูกสาว” ของเจ้าของพรรคเพื่อไทยจึงได้รับการผลักดันด้วยวิธีพิเศษตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรคและได้เสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
...
จนกระทั่งได้เป็นผู้นำประเทศที่ไม่ได้พิสูจน์ตัวตนให้เห็น แต่เพราะมาทางลัดที่มีเส้นสายเหนือกว่าคนอื่น
จึงได้เป็นและคนในพรรคให้การสนับสนุน!
เพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเนื่องจากเป็นพรรคของเขาหากไม่พอใจก็ออกไป หากอยู่ต่อไปก็ต้องยอมรับกติกาที่เขากำหนด
ประเด็นก็คือพรรคเพื่อไทยนั้นสืบทอดมาจาก “ไทยรักไทย”
ที่มีชื่อติดตลาดการเมืองไปแล้ว จึงมีมวลชนเสื้อแดงให้การสนับสนุนจำนวนมาก
ในทางการเมืองต้องยอมรับว่าเหนือกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ
อีกทั้ง “ทักษิณ” ยังมีอิทธิพลบารมีได้รับการยอมรับจากสังคมการเมืองเหนือกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นใครอยู่พรรคนี้
จึงมีโอกาสทางการเมืองมากกว่าพรรคอื่นๆ
ด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆนี้ทำให้นักการเมืองยังคงเกาะติดในสังกัดนี้อย่างต่อเนื่องเพราะมีโอกาสที่จะเติบโตเป็นรัฐมนตรีตามเป้าหมายได้
นี่ยังไม่รวมถึงนักการเมืองที่แม้จะอยู่พรรคอื่นแต่ก็ต้องยอมสยบจนกว่าจะพร้อมสู้อันหมายถึงแตกหักกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่รู้กันว่านี่แหละที่จะขึ้นมาเป็นคู่ต่อกรสำคัญก็ยังไม่กล้าแสดงออก เพราะยังหวั่นเกรงกันอยู่
มิหนำซํ้ายังต้องเล่นบท “พี่เลี้ยง” ที่แสดงออกชัดเจนในศึกอภิปรายครั้งนี้
ภาษาการเมืองน่าจะพูดได้ว่า “ไม่สมราคา”
กับบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมันทำให้คุณค่าของตัวเองลดลง!
"สายล่อฟ้า"
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม