รมว.เกษตรฯ เยือนหนองคาย ประกาศไม่ยอม หากนำเข้าสินค้าแล้วกระทบรายได้เกษตรกร พร้อมนำผลโพลมาปรับทำงาน โอดกระทรวงเกษตรฯ มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ “ยางพารา” ด้าน “ธรรมนัส” สั่ง สส.พรรคกล้าธรรม ดูแลงบประมาณ ก.เกษตรฯ นั่งใน กมธ. อย่าให้โดนตัด เพราะสงสารชาวบ้าน
วันที่ 16 มีนาคม 2568 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย จ.หนองคาย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางพบปะเกษตรกรชาวหนองคาย เพื่อมอบนโยบาย และมอบโฉนดเพื่อการเกษตร รวมถึงมอบปัจจัยการผลิตให้ 11 หน่วยงาน
โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคกล้าธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง ส.ส.พรรคกล้าธรรมเข้าร่วม ท่ามกลางเกษตรกรเข้ามารับฟังบรรยายประมาณ 2,000 คน

ฝากชาวบ้านเก็บที่ดิน ส.ป.ก. ให้ดี ใช้ขอสินเชื่อได้ แต่ขอร้องห้ามขาย
...
นางนฤมล กล่าวย้ำกับชาวบ้านว่า โฉนดต้นยางสามารถนำไปเป็นสินทรัพย์ นำไปใช้ในการกู้สินเชื่อกับธนาคารได้ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะประเมินทรัพย์สินและคาดว่าจะได้ถึง 50% ของที่ดิน
ส่วนในอนาคตยังสามารถต่อยอดได้อีก เพราะนอกจากจะใช้กรีดยางแล้ว ยังสามารถนำไปขายคาร์บอนเครดิตได้ จึงขอให้เก็บโฉนดที่ดิน ส.ป.ก. เอาไว้ เพราะมีมูลค่าส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตได้ ดังนั้นจึงขอเกษตรกรอย่าขายที่ดิน ส.ป.ก. เพราะเขาห้ามขาย ยืนยันว่าทางกระทรวงจะทำให้ภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง ซึ่งพวกเรายังเป็นเกษตรกรของพระราชา ใครไม่เข้าใจเราแต่กระทรวงเกษตรเข้าใจ
“ฝากผู้บริหารของกระทรวงเกษตรทุกคนให้ช่วยดูแลเกษตรกรของพระราชา หากใครจะมาต่อรองและกระทบกับเกษตรกร กระทรวงเกษตรเราไม่ยอม หากจะนำเข้าสินค้าเกษตรเข้ามาและทำให้สินค้าเกษตรภายในประเทศและเกษตรกรค้าขายไม่ได้ แถมรายได้ลดลง กระทรวงเกษตรฯ จะต่อต้านและไม่ยอมเด็ดขาด” นางนฤมล กล่าว
นางนฤมล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เช่นเดียวกับเรื่องโคนมที่เราไปเจรจาการค้ากับต่างประเทศแล้วเกินดุล ถามว่ากำไรมันอยู่ที่คนไทยจริงหรือไม่ เพราะเวลาไปเจรจากลับไปลดภาษีให้กับเขาแล้วมากระทบกับคนไทย ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะค้านถึงที่สุด
นางนฤมล ยังได้แนะนำ ส.ส.พรรคกล้าธรรมกับชาวบ้าน โดยยืนยันว่าจะเข้ามาดูแลงบประมาณในจังหวัดหนองคาย

จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่าแม้พรรคกล้าธรรม จะเกิดขึ้นไม่นาน แต่พร้อมยึด 3 เสาหลักคือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประเทศจะขาดเสาหลักใดเสาหลักหนึ่งไม่ได้ ประเทศใดก็ตามจะขยายความเป็นมหาอำนาจได้ จะต้องเน้นเรื่องพาณิชย์และเกษตรกรรม โดยตลาดต้องนำ หากไม่มีตลาดปลูกอะไร เลี้ยงอะไร ก็จะก่อให้เกิดหนี้ พร้อมย้ำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จำเป็นที่จะต้องรักษาไว้
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่าในจำนวน 6 อำเภอจาก 9 อำเภอ ของจังหวัดหนองคายมีการทำระบบชลประทานแล้ว การแก้ปัญหาเรื่องน้ำไม่ใช่เรื่องยากมันอยู่ที่การจัดสรรงบประมาณ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือภาคการเกษตรที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อทุกภาคส่วนของประเทศไทย
นอกจากนี้ยังแนะนำชาวบ้านอย่าเอาข้าวพันธุ์ต่างชาติมาปลูก เพราะมันป้อม ต้องเอาข้าวเม็ดยาวๆ กลิ่นหอม เนื้อนุ่มๆ มาปลูกแทน โดยเมื่อวานไปลงพื้นที่บึงกาฬ วันนี้มาหนองคายพวกตนในฐานะลูกพรรคของท่านหัวหน้า จะมาฟังปัญหาของชาวบ้าน ให้สอบถาม เพื่อจดไว้ หากอันไหนเป็นประเด็นสำคัญก็จะตั้งกระทู้ถาม ให้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ไปหารือในสภาฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะบันทึกในสภาฯ และประธานสภาฯ จะทำบันทึกถึงรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงต่อไป
“กระทรวงเกษตรได้รับงบประมาณ 125,000 ล้านบาท เฉลี่ยเกษตรกรได้หัวละ 3,000 บาทต่อคน จึงไม่เพียงพอ จึงฝาก สส. หากเป็นกรรมาธิการในงบประมาณต้องดูแลกระทรวงเกษตรให้ดี หากมีงบฯเกี่ยวกับกระทรวงเกษตรฯ อย่าให้มีการตัดงบประมาณเพราะสงสารชาวบ้าน” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
จากนั้นนางนฤมล ได้มอบโฉนดที่ดิน ส.ป.ก. ให้ชาวบ้าน 100 ราย มอบพันธุ์ปลา และมอบปัจจัยการผลิต ก่อนจะพาคณะไปเยี่ยมชมบูธนิทรรศการของเกษตรกร

พร้อมนำผลโพลมาปรับทำงาน โอดกระทรวงเกษตรฯ มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ “ยางพารา”
ต่อมานางนฤมล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นอร์ทกรุงเทพโพล แสดงสำรวจความคิดเห็นกระทรวงที่มี “ผลงานโดดเด่น” มากที่สุด ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ในอันดับรั้งท้ายว่า ถือเป็นการสะท้อนการทำงานที่เราจะต้องนำมาปรับ ซึ่งเราได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจะทำต่อไป เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพราะบางเรื่องประชาชนเข้าใจว่าเบ็ดเสร็จที่กระทรวงเกษตรฯ แต่ที่จริงเกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่นๆ ที่เราไม่มีอำนาจในการดูแลไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ราคา ต้นทุน “เรามาเดินสายทำความเข้าใจกับประชาชนชาวเกษตรกรก็ทำให้เขาเข้าใจเรามากยิ่งขึ้น”
นางนฤมล กล่าวว่า พืชเศรษฐกิจที่เรามีอำนาจเบ็ดเสร็จมีเพียงแค่เฉพาะเรื่องของยางพารา อ้อยเป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม ปาล์มน้ำมันอยู่ในส่วนของกระทรวงพลังงาน และมันสำปะหลังกับข้าวที่มีคณะกรรมการนโยบายอยู่นั้นก็มีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ดูแล อันที่จริงเราก็อยากจะดูแลให้ครอบคลุมทั้งหมด
“ถึงแม้เราจะไม่ได้ดูแลเบ็ดเสร็จแต่ก็มีการประสานข้อมูลชี้แจงให้กระทรวงที่รับผิดชอบได้รับทราบถึงผลกระทบต่อเกษตรกรหากทำอะไรไป ไม่อยากให้มองแค่กลางน้ำกับปลายน้ำ อยากให้มองที่ต้นน้ำอยากเกษตรกรด้วย ยืนยันไม่เสียกำลังใจ และพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ให้เกษตรกรต่อไป” นางนฤมล กล่าว
