เกิดคำถามต่อการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านมากมาย ก็เพราะความปกติที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะอภิปรายได้หรือไม่ กี่วัน เดือนนี้หรือเดือนหน้า จะใส่ชื่อใครในญัตติ หากถอดชื่อแล้วจะใส่ชื่ออะไรแทน

ก็เป็นสีสันสำหรับศึกซักฟอกครั้งนี้

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะฝ่ายค้านได้ใส่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ในญัตติที่ไม่มีการกระทำอย่างนี้มาก่อน ทำให้ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งหลายต้องออกโรงคัดค้านอย่างเป็นกระบวนการ

เริ่มจากประธานสภาได้ทำหนังสือถึงผู้นำฝ่ายค้านให้ถอดชื่อออก มิฉะนั้นจะไม่บรรจุญัตติในระเบียบวาระ

ก็คือจะ “ล้มญัตติ” ว่างั้นเถอะ...

ที่สุดก็มีการเจรจาและตกลงกันว่าจะถอดชื่อนี้ออกไปแต่ขออภิปราย 30 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ยอม บอกว่ามากไปให้แค่ 20 ชั่วโมงเท่านั้น

ก็เลยต้องไปประชุมกันใหม่ในวันที่ 19 มี.ค.68 เพื่อตกลงกันให้เรียบร้อย

ซึ่งฝ่ายค้านที่อุบเรื่องจะใส่ชื่ออะไรแทนก็น่าจะเปิดเผยตามมา

ว่าไปแล้วศึกซักฟอกครั้งนี้ที่ฝ่ายค้านได้ยื่นซักฟอกเพียงคนเดียวคือ นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ถือเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลก็ว่าได้

เนื่องจากผู้นำของพวกเขาคงจะถูกซักฟอกเป็นครั้งแรก อีกทั้งงานในสภาก็ไม่ค่อยเคย เพราะเคยเข้าไปตอบกระทู้เพียงครั้งเดียว

“นายหญิง” จึงต้องได้รับการปกป้องยิ่งกว่าไข่ในหิน

แม้เจ้าตัวดูจะไม่ยี่หระ รวมทั้ง “ผู้พ่อ” ก็ดูจะมั่นใจว่าลูกสาวน่าจะสอบผ่านไปได้

แต่นั่นเป็นเรื่องที่ยังอยู่นอกสนาม เพราะในสนามจริงต่างกันมาก ทางที่ดีทำให้ญัตตินี้ตกไป จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

เพราะฝ่ายค้านตั้งเป้าที่จะเล่นงาน “ทั้งพ่อทั้งลูก”

...

ความปกติจึงไม่ปกติก็ตรงนี้แหละ...

ว่าไปแล้ว กฎกติกานั้นมีอยู่แล้ว เพราะหากอภิปรายพาดพิงคนนอกอาจจะถูกฟ้องร้องได้ เพราะไม่มีสิทธิที่จะตอบโต้ในสภาได้

เว้นแต่ฝ่ายค้านจะมีลีลาในการอภิปรายที่ไม่ทำให้คนนอกเสียหาย แต่ทำให้สังคมได้รับรู้ถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น

ตรงนี้ต่างหากคือประเด็นสำคัญ

ว่าไปแล้วรัฐบาลชุดนี้ต่างไปจากรัฐบาลชุดอื่น เพราะมีนายกรัฐมนตรี 2 คนทับซ้อนกันอยู่ เนื่องจาก “ผู้พ่อ” แสดงตัวอย่างไม่เคอะเขิน หนำซ้ำยังบอกว่าเขาเป็น (สทร.) คือเสือกทุกเรื่อง

โดยที่ลูกสาวนายกรัฐมนตรีตัวจริงก็ไม่ได้ห้ามปราม แต่จงใจให้ “พ่อ” ครอบงำทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องนโยบายสำคัญที่ “ทักษิณ” พูดอะไรรัฐบาลนำไปดำเนินการหมด

นี่คือความจริงทางการเมืองที่เกิดขึ้น!

ซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายค้านก็สามารถที่จะนำมาอภิปรายให้เห็นภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น รัฐบาลและบรรดาลิ่วล้อควรจะยอมรับความจริงในข้อนี้

โดยเฉพาะ “ทักษิณ” เอง เวลาพูดแสดงความคิดเห็นต่างๆก็ดูจะไม่สนใจว่าสิ่งที่พูดหรือทำไปนั้น มันครอบงำหรือไม่

หรือนึกว่าด่าใครก็ไม่ยั้งปาก ยั้งมือแม้แต่น้อย

ดังนั้น หากโดนเข้าบ้างก็ต้องใจกว้างยอมรับผลที่ตามมา

ไม่ใช่เล่นงานเขาฝ่ายเดียว แต่พอโดนบ้างดิ้นเป็นโดนน้ำร้อนลวก

ปัญหาของรัฐบาลที่เกิดขึ้นแทบทุกเรื่องนี้นั้น มาจากใครน่าจะรู้กันอยู่ ดังนั้นจะเอามือ “ปิดฟ้า” บอกว่าไม่ใช่มันก็เกินไป

ไหนว่าแน่ที่แท้ก็คุยโตไปเท่านั้นเอง!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม