ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ โลกกำลังสั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละวัน หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
“ศิลปะการเจรจา” ที่เล่นบทนี้เพื่อการต่อรอง ถูกนำมาปฏิบัติการทุกวัน
คือบอกว่าจะทำอย่างนี้ อีกวันอาจเปลี่ยนไปเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดหรือตามที่ต้องการ
แน่นอนว่าไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง
ที่หนีไม่พ้นวงจรนี้ เพราะมีความเหลื่อมในเรื่องการค้าที่ไทยได้เปรียบเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
เพียงแต่ยังไม่ถึงคิวจึงไม่รู้ว่าสหรัฐฯจะเล่นบทอย่างไร
นั่นทำให้ภาคธุรกิจเอกชนของไทยตื่นตัวด้วยการเสนอให้รัฐบาลตั้งทีมพิเศษเพื่อรับมือในเรื่องนี้ จะเป็นแบบทีม “รัฐ+ เอกชน”
เพราะที่ผ่านมาจนถึงวันนี้รัฐบาลไม่ได้แพลนงานหรือเตรียมการให้เห็นแม้แต่น้อย
เหมือนกับจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมทำนองนั้น
พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจที่ยังเป็นปัญหาของรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถทำให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ ชัดเจนที่สุดก็คือตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก
หนำซํ้ารัฐมนตรีบางคนยังพูดให้กระเทือนซางเสียอีกว่า “คนโง่จะไม่เห็นโอกาส” หมายถึงว่าคนฉลาดสามารถทำให้รํ่ารวยขึ้นมาได้
คือการช้อนซื้อเอาไว้ในขณะที่ราคาตํ่า!
ที่สุดถูกด่าจนต้องออกมาแก้ข่าวเพราะหุ้นตกอย่างนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งระบบทำให้ความเชื่อมั่นหดหายลงไป
นั่นคือความผิดพลาดของรัฐบาลที่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้
พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นปัญหานี้อยู่นั้น บรรดาผู้รับผิดชอบตั้งแต่รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ
ดูเหมือนจะทำงานกันอย่างไม่เป็นระบบไม่เป็นทีมต่างคนต่างทำ
ที่สำคัญไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือให้กับประชาชนและนักลงทุนแม้แต่น้อย พูดง่ายๆคือไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
...
คือพูดอะไรแล้วไม่มีคนเชื่อหรือไม่น่าศรัทธา...
ที่เป็นอย่างนี้ก็คงเนื่องมาจากรัฐบาลชุดนี้มีการทับซ้อนกันอยู่ อย่างนายกรัฐมนตรีก็มี 2 คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ
แต่นายกรัฐมนตรีอีกคน พูดอะไรคนเชื่อคนฟังมากกว่า
เรื่องเศรษฐกิจก็เช่นเดียวกัน ทีมเศรษฐกิจในฐานะผู้ปฏิบัติก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อหรือให้ความมั่นใจ แต่ไปเชื่อไปฟังคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีนอกรัฐบาล
เหล่านี้คือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น!
ดังนั้น ทุกเรื่องราวและความเป็นไปจึงเหมือนกับว่าการบัญชาการเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนต้องส่งต่อเป็นทอดๆจึงจะขับเคลื่อนได้
ทำให้ “ขุนคลัง” ตัวจริงแทบจะไม่มีความหมาย
เหมือนถูกลบออกไปจากบัญชี
คือมีสถานะไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรี ตัวจริง
ด้วยสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้การแก้ไขหรือการดำเนินการต่างๆจึงล่าช้าไม่ทันการณ์ เพราะต้องผ่านคำสั่งเป็นทอดๆ
นี่กระมังที่ทำให้ “ขุนคลัง” ตัวจริงดูไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าใดนักกับตำแหน่งที่ได้รับ
เพราะนายกรัฐมนตรีนอกรัฐบาลนั้นมุ่งไปที่เรื่องการเมือง-อำนาจเพื่อการดำรงอยู่ จึงให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องอื่นๆ
วันนี้ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่ยังแก้ไม่ได้ ยังมีปัญหาภายนอกมากระทบแล้วยังมีเรื่องราคาสินค้าการเกษตรที่ตกตํ่า
ปัญหาราคาข้าวตกตํ่าแต่รัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็แก้ไม่ได้
ชาวนาเริ่มรวมตัวกันชุมนุมประท้วงลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ทำท่าจะบานปลายซึ่งจะเป็นชนวนสำคัญที่จะทำให้เกิดกระแส “จุดติด” ด้วยการลงถนนได้
เพราะปัญหาการเมืองที่กำลังรอการเคลื่อนไหวให้เกิดกระแสใหญ่กำลังจะผสานตัวในอีกไม่ช้า อย่าทำเป็นเล่นไป
ที่ดูแคลนเย้ยเยาะระวังให้ดีก็แล้วกัน!
“ลิขิต จงสกุล”
คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม