แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผู้ร้ายจีนบินเข้าประเทศไทยเป็นว่าเล่นด้วย “ฟรีวีซ่า” ที่รัฐบาลไทยหวังจะใช้ดึงนักท่องเที่ยวจีน แต่เปิดช่องโหว่ให้คนร้ายจีนบินเข้ามามากมาย แล้วข้ามไปเปิดเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ต้มตุ๋นใน 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ไฟฟ้าจากไทย ใช้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือจากไทย เป็นเครื่องมือข่มขู่ต้มตุ๋นเงินเหยื่อคนไทยและเหยื่อจากทั่วโลก จนรัฐบาลจีนทนต่อไปไม่ไหว ต้องส่ง นายหลิว  สงยี่  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงจีน  พร้อมคณะชุดใหญ่ 15 คน บินมาหารือกับรัฐมนตรียุติธรรม จเรตำรวจแห่งชาติ ตำรวจไซเบอร์ อธิบดีดีเอสไอ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ไปจนถึง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติไทย  เพื่อขอความร่วมมือในการปราบปราม “แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน” ที่มาใช้ประเทศเพื่อนบ้านไทยเป็นฐานบัญชาการ โดยใช้ “ประเทศไทย” เป็นทางผ่าน และส่งผ่านเงินฉ้อโกง

การส่ง รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน มาหารือกับ รัฐบาลไทย ครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลจีนซีเรียสและเอาจริงกับการปราบ โจรจีนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เหิมเกริมขึ้นทุกวัน

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นายหวัง อี้  รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้เชิญ ทูตอาเซียน รวมทั้ง เอกอัครราชทูตไทย  ไปขอความร่วมมือ เรียกร้องให้ทุกประเทศในอาเซียนใช้มาตรการเข้มข้นปราบปราม “การพนัน ออนไลน์”  (ที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะเอาขึ้นมาบนดินให้เล่นกันทั้งประเทศ) และ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” พร้อมกับเรียกร้องให้ “ประเทศที่เกี่ยวข้อง” แสดงความรับผิดชอบ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้กล่าวกับทูตอาเซียนอย่างชัดเจนว่า คดีต่างๆของ “การพนันออนไลน์”  และ “การฉ้อโกงด้านคมนาคม”  ตาม “แนวชายแดนไทย–เมียนมา”  ได้ คุกคามและทำร้ายพลเมืองจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งก็รวมทั้ง “เหยื่อคนไทย” ด้วย

...

รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน  ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ม.ค.  กับตำรวจไซเบอร์ไทยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี  ได้ทำร้ายร่างกายคนจากหลายประเทศ ตอนนี้พบว่ามีแก๊งคนจีน 36 กลุ่ม มีผู้เกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งแสนคน   ปัจจุบันมีประชาชนชาวจีนถูกหลอกไปทำงานจำนวนมาก และถูกทำร้ายร่างกายและเสียชีวิต (เช่นเดียวกับคนไทย) คดีของหวัง ซิง  (ดาราจีนชื่อดัง) ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีคำถามถึงความมั่นใจในความปลอดภัยของไทย ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลง  และมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่งที่กังวล เกิดภาพลักษณ์เชิงลบต่อไทย รัฐมนตรีจีนพูดกดดันตำรวจไซเบอร์ไทยตรงๆ

รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน  กล่าวอีกว่า ทางเรา (จีน) ทราบว่าไทยพยายามป้องกันปราบปราม เขาเห็นด้วยกับข้อเสนอทั้ง 4 ข้อ ทำให้รู้ว่าทางไทยเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ปัจจุบันทั่วโลกเกือบทุกประเทศ ได้รับผลกระทบจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว โดยมีสถิติว่าทั่วโลกเสียหายไปแล้วกว่า  10 ล้านล้านดอลลาร์  (กว่า  340 ล้านล้านบาท) เป็นความเสียหายที่สูงมาก เมื่อกลางปี 2567 สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (USIP)  ก็ได้เปิดเผยผลวิจัย “การพนันออนไลน์” และ “การสแกมมิง” ของ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวเลข ณ สิ้นปี 2566 โดยประเมินอย่างหยาบๆ พบว่า แก๊งต้มตุ๋นใน 3 ประเทศรอบไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา ได้ขโมยเงินจากเหยื่อทั่วโลกไปแล้วถึง 64,000 ล้านดอลลาร์ กว่า 2.2 ล้านล้านบาท

โลกประจานถึงขนาดนี้   จึงไม่แปลกที่การประชุม ครม.วันอังคาร 27 ม.ค. ครม.เห็นชอบให้แก้ไข พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  โดย  เพิ่มอำนาจดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการต้มตุ๋น เพิ่มโทษสถาบันการเงิน เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สื่อสังคมออนไลน์ ให้ร่วมรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ฯลฯ

รัฐบาลจีน กดดัน รัฐบาลไทย  หนักขนาดนี้ ก็ต้องดูว่านายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ไปเยือนจีน 5–8 ก.พ.นี้ จะมีโอกาสได้พบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อคุยเรื่องปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามที่ให้สัมภาษณ์ไว้หรือไม่ และ นายกฯจะตอบคำถามผู้นำจีนเรื่องการนำ “การพนันออนไลน์” ขึ้นมาบนดินว่าอย่างไร ต้องติดตามดูกันต่อไป.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม