นาทีนี้ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่พร้อมที่จะสู้กันในสนามเลือกตั้งใหญ่จึงต้องสู้กันในสนามเล็กไปพลางๆจนกว่าจะถึงเวลานั้นแล้วค่อยมาว่ากัน

จึงไม่แปลกที่นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะบอกว่าการหาเสียงก็เป็นอย่างนี้แหละเหมือนการแข่งขันกีฬามีแพ้-ชนะ

เลิกแล้วก็ทำงานร่วมกันต่อไป

ไม่ต่างไปจาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่บอกว่าไม่มีปัญหา ยังทำงานร่วมกันต่อไปได้

ปากกับใจตรงกันหรือเปล่า?

ลองคิดดูกันเอง...

เช่นกันพรรคประชาชนซึ่งอยู่ใน 3 เหลี่ยมอำนาจก็ยังมีปัญหาที่ยังไม่พร้อมเลือกตั้งเพราะภาวะปัจจุบันไม่ค่อยจะดีนักหลังจากแปรสภาพจาก “ก้าวไกล” มาเป็น “ประชาชน” ที่ความนิยมดำดิ่งลงไป

อีกทั้งกระแสคนรุ่นใหม่ลดความแรงลงเป็นลำดับ แม้แต่ผู้นำโลกในปัจจุบันต่างก็อายุอานามมากขึ้นอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ปาเข้า 78 ปีแล้ว

วงจรโลกทางการเมืองมันเริ่มเปลี่ยนไปอีกมุมหนึ่ง คนรุ่นใหม่ที่มาแรงเริ่มแผ่วลงกระแสคนสูงวัยกำลังขึ้นมาแทนที่

นั่นคงเป็นเพราะด้วยวัยวุฒิ ประสบการณ์ การตัดสินใจคงทำให้สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้สูงกว่าคนรุ่นใหม่แม้จะมีอุดมการณ์ ความกล้าเอาชนะ แต่เทรนด์โลกเห็นว่าจะทำให้เกิดปัญหาได้

ทำให้สถานการณ์ของพรรคประชาชนจึงตกต่ำหากจะไปสู้กับ “เพื่อไทย” หรือ “ภูมิใจไทย” วันนี้คงลำบาก

แต่กว่าจะถึงเลือกตั้งใหญ่ยังมีเวลาที่จะปรับลุคใหม่ได้

ด้วยเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีบารมีของ “เพื่อไทย” จึงมีความมั่นใจและกล้าที่จะปะ ฉะ ดะกับใครก็ได้ในชั่วโมงนี้

การเดินสายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ในหลายพื้นที่ไล่เรียงกันมานั้น “ทักษิณ” จึงเพิ่มความแรงและน้ำหนักหมัดหนักขึ้นเรื่อยๆ

...

อย่างที่ศรีสะเกษก็ประกาศ “ไล่หนูตีงูเห่า” อย่างที่เคยใช้มาแล้ว รวมถึงตีกระทรวงศึกษาธิการซึ่งรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบอยู่

ไม่อีนังขังขอบว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน และต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนแต่ก็ยังโชว์ความเหนือกว่าตีลูกข่มใส่เต็มที่

เพราะรู้ดีว่า “เสี่ยหนู” ไม่กล้าโกรธหรือแสดงความไม่พอใจ!

ก็เพราะยังต้องการทำงานร่วมกันอยู่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชนเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งใหญ่

แม้จะต้องกัดฟันกรอดๆที่ถูก “ทักษิณ” ทิ่มแทงก็ตาม

ความขัดแย้งหลักๆที่รออยู่ข้างหน้าอย่างเรื่องกฎหมาย “กาสิโน” ที่เพื่อไทยดันสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ภูมิใจไทยแสดงออกอ้อมๆว่าไม่เห็นด้วย

กฎหมายฉบับนี้กำลังอยู่ในขั้นการพิจารณาของกฤษฎีกาพิจารณาโดยรัฐบาลให้เวลา 50 วันทำให้เสร็จ

เนื้อหาสาระของกฎหมายฉบับนี้ที่จะออกมานั้นจะเป็นปมสำคัญที่จะถูกนำมาใช้เป็นข้อถกเถียงกันอย่างหนักแน่

ตั้งแต่ในที่ประชุม ครม.ไปจนถึงการพิจารณาของสภา

“ภูมิใจไทย” นั้นลับมีดรออยู่แล้วเข้าทางเมื่อใดคงฟันไม่เลี้ยงแน่ เพราะกระแสคัดค้านนั้นค่อนข้างแรงทั้งจากกลุ่มการเมืองนอกสภา นักวิชาการที่คัดค้านและยกตัวอย่างประเทศที่ล้มเหลวมาแล้ว

พูดง่ายๆว่ามีข้อมูลที่จะนำไปค้านเพียบ

ที่ชัดเจนก็คือพรรคร่วมหลายพรรคก็ไม่เห็นด้วย

อีกทั้งยังมีวุฒิสมาชิกค่ายสีน้ำเงินก็พร้อมถล่ม

จับตาให้ดีกฎหมายฉบับนี้อาจเป็นชนวนเหตุให้ต้องแยกทางกันได้!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม