คงไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอหนักขนาดนี้ ทำให้ต้องแก้ปัญหาอย่างฉุกละหุก แม้อยู่ต่างประเทศยังต้องไล่จิกบรรดารัฐมนตรีให้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างซีเรียส

เพราะประชาชนทั้งประเทศโดยเฉพาะใน กทม.ได้รับผลกระทบอย่างหนักแทบทุกเขต มองขึ้นไปท้องฟ้าเจอแต่สีแดง ฝุ่นพิษ PM 2.5 จนมืดครึ้มไปทั้งเมือง แปลกอยู่อย่างมิสเตอร์ สทร.ไม่มีเสียงคอมเมนต์ เพราะปกติจะต้องแสดงความเห็นหรือแสดงทัศนะทุกเรื่อง

นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” บอกว่า ปัญหาฝุ่นพิษนั้น ให้ความสนใจตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่งแล้ว

แต่ทำไมจึงไม่มีแนวปฏิบัติให้ปรากฏเพื่อแก้ไขปัญหาหรือได้แค่จะบอกว่าไม่ได้นิ่งนอนใจหาคะแนนในภาวะที่วิกฤติ

ก็คงเป็นเพราะได้แค่คิดแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

หรืออย่าง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม. ก็คงอีหรอบเดียวกัน ตอนหาเสียงประกาศนโยบายเป็นฉากจะทำอย่างนั้นอย่างนี้

แต่พอเจอของจริงเข้าก็หงอยรับประทาน!

ที่คิดจะชิงเก้าอี้สมัยที่ 2 เห็นท่าจะต้องเลิกคิดเสียแล้ว เพราะเท่าที่ฟังเสียงคนกรุงปรากฏมีแต่ด่ามากกว่าเสียงชม

นั่นมันเป็นอย่างนั้น...

ปัญหาหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือการบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพของประเทศไทย ก็คงเป็นเพราะปัญหาลูบหน้าปะจมูก มีผลประโยชน์มาเกี่ยวพันและระบบอุปถัมภ์ที่ครอบงำสังคมไทย

ทำให้เกิดปัญหาที่ทับซ้อนจนแก้ไขได้ยากเย็น

กรณี “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยว่า มีกลุ่มบุคคลที่ต้องการให้พ้นจากตำแหน่งด้วยอามิสสินจ้าง 300 ล้านบาท

เพราะเขาปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา!

คือได้ทำการปิดโรงงานน้ำตาลในจังหวัดภาคอีสานหลายแห่ง เพราะกระทำผิดกติกาที่รับอ้อยซึ่งชาวไร่เผามากกว่าจำนวนที่กำหนด ซึ่งมีการตกลงกันไว้แล้วแต่ยังฝ่าฝืน

...

ทำให้เจ้าของไร่อ้อยที่นำอ้อยมาขายให้โรงงาน เพื่อทำการหีบผลิตน้ำตาลจนต้องจอดรถรอที่หน้าโรงงานจำนวนมาก

นั่นทำให้โรงงานไม่พอใจ เจ้าของอ้อยไม่พอใจ

ซ้ำร้ายมีนักการเมืองจากพรรค “เพื่อไทย” แสดงความไม่พอใจรัฐมนตรีที่ออกคำสั่งนี้ได้ตั้งกระทู้ถามในสภา เพื่อหวังจะเล่นงาน

รัฐมนตรีได้ขึ้นชี้แจงพร้อมกับเล่าถึงความเป็นมาต่างๆ

สรุปก็คือ เพื่อแก้ปัญหา “ฝุ่นพิษ” นี่แหละจนทำให้สร้างความไม่พอใจที่โรงงานถูกปิดและจะขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง ด้วยเม็ดเงิน 300 ล้านบาท

เป็น “ค่าหัว”...นั่นแหละ!

นายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยผ่านงานอย่างนี้มาก่อนคงได้รู้เห็นแล้วว่า ปัญหาของประเทศนั้นมันหนักหนาสากรรจ์ที่จะมาทำเล่นๆไม่ได้

แต่จะต้องเรียนและลงมือปฏิบัติอย่างเป็นจริงเป็นจัง

เพราะมันไม่ใช่ “ซอฟต์พาวเวอร์” สวยๆงามๆอย่างนั้น

เรื่อง “ฝุ่นพิษ” นั้นต้องทำเป็นวาระแห่งชาติจริงๆที่หน่วยงานจะต้องร่วมมือ รวมทั้งประชาชนด้วย มิฉะนั้นไม่มีทางสำเร็จหรือเห็นผลได้

นอกจากนั้นจะต้องมีแผนงานเป็นระบบและปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะแค่การบังคับใช้กฎหมายก็ยากแล้ว

รัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมายังจะต้องถูกเด็ดหัว

ดีไม่ดีอาจจะถูกเขี่ยออกจากรัฐบาลทั้งพรรคด้วย

กลับมาเมืองไทยก็ทำผลงานให้ปรากฏจริงๆ มิฉะนั้นอาจจะต้องพอได้แล้ว!


“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม