สส.ใต้ จับมือกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงนกกรงหัวจุก เรียกร้องปลดล็อกจาก “สัตว์ป่าคุ้มครอง” สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่รากหญ้า เล็งส่งออกต่างประเทศ

วันที่ 22 มกราคม 2568 ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันนกปรอดหัวโขน (นกกรงหัวจุก) “ก้าวที่กล้า สานฝันสู่เสรี” ณ สนามด้านหลังรัฐสภา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 มกราคม 2568 ภายในงานมีกิจกรรมการแข่งขันนกกรงหัวจุก นำนกเลี้ยงมาจัดแสดงและขายอุปกรณ์สำหรับการเลี้ยงนก เช่น อาหารนกโต อาหารป้อนนกเล็ก กรงนก เป็นต้น โดยมี สส.ภาคใต้ของหลายพรรคการเมือง ร่วมกิจกรรมดังกล่าว

เปิดสภา จัดแข่งนกกรงหัวจุก สส.ปัตตานี ขอเร่งปลดล็อกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง

นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการแข่งขันนกปรอดหัวโขน (นกกรงหัวจุก) ณ อาคารรัฐสภา เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมการเลี้ยงนกปรอดหัวโขน และสร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชน รวมถึงสนับสนุนการอนุรักษ์พันธุ์นก และธรรมชาติอันเป็นมรดกของชาติ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้คุ้นเคยกับนกกรงหัวจุกมานาน หากสามารถถอดออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง และส่งเสริมให้เกิดการเพาะเลี้ยง จะช่วยให้รักษาหรืออนุรักษ์นกกรงหัวจุกในแหล่งธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันผู้เพาะเลี้ยงประสบปัญหาในการขอใบอนุญาตจากหน่วยงานราชการ ทำให้เป็นอุปสรรคในการส่งเสริมอาชีพเพาะเลี้ยงนกกรงหัวจุก ที่ยังมีความต้องการของตลาดอีกเป็นจำนวนมาก

...

เปิดสภา จัดแข่งนกกรงหัวจุก สส.ปัตตานี ขอเร่งปลดล็อกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง

“การเลี้ยงนกกรงหัวจุก ยังสามารถส่งเสริมให้เป็นกีฬาพื้นบ้าน และนอกจากจะสามารถส่งเสริมเป็นอาชีพเพาะเลี้ยงแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมของชาวบ้านในการผลิตกรงที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่จะสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน” นายคอซีย์ กล่าว

เปิดสภา จัดแข่งนกกรงหัวจุก สส.ปัตตานี ขอเร่งปลดล็อกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง

ขณะที่เวทีเสวนา “ก้าวที่กล้า สานฝันสู่เสรี” นายเอกพล วรรณกิจ นายกสมาคมอนุรักษ์และเพาะเลี้ยงนกกรงหัวจุกแห่งประเทศไทย ระบุว่า ขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาปลดล็อกล่าสุด อยู่ในชั้นอนุกรรมการของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่สำหรับพิจารณาสถานภาพของนกปรอดหัวโขน (นกกรงหัวจุก) คาดว่าไม่เกิน 2 เดือน จะสามารถถอดออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง ส่วนทางสมาคมมีการทำแผนต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมอาชีพ สร้างโอกาสให้กับผู้รักและเลี้ยงนกกรงหัวจุก

เพราะจากการวิจัยของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นกกรงหัวจุกสีดำและสีเทา  สามารถสร้างรายได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท หากปลดล็อกอาจเพิ่มอีก 2-3 เท่าตัว สามารถดันเป็น Soft Power ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อให้เงินเข้ากระเป๋าชาวบ้าน เราต้องเร่งผลักดันการปลดล็อกดังกล่าว เนื่องจากกระแสในต่างประเทศดีมาก เป็นโอกาสที่ดีที่จะส่งไปยังประเทศจีน เวียดนาม และตะวันออกกลาง หากช้ากว่านี้อาจเสียโอกาสได้

นายกิตติเดช แสงเจริญ ผู้เพาะเลี้ยงนกกรงหัวจุกมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี ระบุว่า หากนกกรงหัวจุกถูกถอดออกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง จะส่งผลดีต่อชาวบ้าน และมีผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่ ทั้งอาหารนก การเพาะหนอน ผลไม้สำหรับเลี้ยงนก ซึ่งตนอยากผลักดันให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจ พร้อมกล่าวว่า “เคยมีคนมาติดต่อขอนกกรงหัวจุกตัวแรกในไทยที่ผมเพาะเลี้ยงในราคา 3 ล้านบาท แต่ผมไม่ยอมขาย”

ทางด้าสน นายเจษฎา ล้อทอง อินฟลูเอนเซอร์ รายการมิตรภาพติดปีก ระบุว่า จริงๆ แล้วศัตรูหลักที่ทำให้นกกรงหัวจุกสูญพันธุ์ไม่ใช่การจับมาแข่งขัน แต่อยู่ที่การใช้ยาฆ่าแมลงในพืชและผลไม้ เมื่อนกไปกินก็ตาย รวมถึงจำนวนป่าถูกทำลายไปมาก ทำให้นกค่อยๆ สูญพันธุ์ ที่สำคัญอยากให้เข้าใจด้วยว่านกที่นำมาแข่งไม่ใช่นกป่า เพราะกว่าจะเลี้ยงเพื่อมาร้องเพลงแข่งขันได้ต้องใช้เวลา 5-10 ปี แต่ปัจจุบันนกที่นำมาแข่งมีอายุ 1-2 ปีเท่านั้น วัฒนธรรมการนำนกกรงหัวจุกมาแข่งขันร้องเพลง ไม่ได้แข่งเฉพาะเมืองไทย แต่เป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมานานตั้งแต่อินโดไชน่า หากส่งเสริมให้เพาะเลี้ยงอย่างถูกกฎหมาย ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย

เปิดสภา จัดแข่งนกกรงหัวจุก สส.ปัตตานี ขอเร่งปลดล็อกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง