คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไปแสดงปาฐถาหัวข้อ Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market จัดโดย ข่าวหุ้นธุรกิจ เมื่อคํ่าวันจันทร์ พูดถึงปัญหาของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้คือ Trust Confidence และ Sentiment ไม่ดี ต้องนำกลับมาให้ได้ ปัญหาสำคัญคือหน่วยงานกำกับตลาดทุนช้าเกินไป ต้องกระชับการทำงานให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาต้องออกมาชี้แจงแก้ไขให้เร็วขึ้น หากจำเป็นก็ต้องออกเป็น พ.ร.ก.เพื่อแก้สถานการณ์ให้ได้ทันท่วงที
คุณทักษิณ พูดถึงความเข้มแข็งของบริษัทจดทะเบียนว่า บริษัทที่เข้าตลาดหุ้นแล้วต้องมอนิเตอร์ต่อเนื่อง ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องตรวจสุขภาพบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะเรื่องธรรมาภิบาล ติดตามพฤติกรรมของฝ่ายบริหาร เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ใช้เงินผิดประเภท ต้องไม่เกิดปัญหากระทบต่อตลาดหลักทรัพย์
เรื่อง High Frequency Trade หรือการซื้อขายหุ้นความถี่สูงโดยใช้โรบอต คุณทักษิณ เห็นว่า ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อใครเลย เป็นการเทรดที่ทำกำไรเล็กๆ แต่ถี่ๆ เมื่อสิ้นวันก็ไม่เหลืออะไร แต่ตลาดหุ้นชอบเพราะมีวอลลุ่ม ซึ่งจำเป็นต้องเข้มงวดเรื่องการได้เปรียบเสียเปรียบ ตลาดหลักทรัพย์ฯมีหน้าที่ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบ ต้องรักษากติกาให้ดี ต้องตรวจสอบเรื่องการได้เปรียบเสียเปรียบ คุณทักษิณเสนอให้เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.เหมือนสากล สามารถจัดการกรณีที่สร้างปัญหาในตลาดทุนได้ทันที ไม่ต้องรอดีเอสไอ อัยการ เพราะทำให้ความน่าเชื่อถือเสียหาย
ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน มีแต่บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจเก่า บริษัทใหม่ๆขนาดใหญ่ๆไม่ค่อยมี รัฐบาลจะให้บีโอไอชวนบริษัทต่างประเทศมาเข้าตลาดหุ้นไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุน หรืออย่าง Entertainment Complex ที่จะมีการลงทุน 5 แสนล้านบาท หากเข้าในตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะช่วยเพิ่มหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น หุ้นหลายตัวราคาตํ่า อยากสนับสนุนให้บริษัทซื้อหุ้นของตนเองเข้าพอร์ต ตลาดควรใช้ระบบญี่ปุ่น คือทำแผนให้ราคาหุ้นกับบุ๊คมีราคาใกล้เคียงกัน
...
ก็เป็นสรุปย่อประเด็นสำคัญที่ คุณทักษิณ พูดถึงตลาดหุ้นไทยครับ หลายคนคาดหวังว่าคุณทักษิณพูดแล้วรุ่งขึ้นตลาดหุ้นคงจะขึ้นแน่นอน แต่ต้องผิดหวัง ปิดตลาด 14 ม.ค. ดัชนีหุ้นร่วงไป 14.09 จุด ปิดที่ 1,340.25 จุด
วันเดียวกัน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้เปิดผลสำรวจ “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน” (FETCO Investor Confidence Index) เดือนธันวาคม 2567 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ที่ระดับ 78.52 โดยพบว่า นักลงทุนบุคคล ความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ขณะที่ กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และ กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” หมวดธุรกิจที่น่าสนใจที่สุดคือ หมวดพาณิชย์ (COMM) หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจที่สุด คือ หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) ปัจจัยที่มีอิทธิพลหนุนตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ผมลองย้อนดู ดัชนีหุ้นไทยในอดีต พบว่า เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 1,789.16 จุด ในเดือนมกราคม 2537 ผ่านไป 31 ปี ดัชนีหุ้นไทยยังกลับไปที่ระดับเดิมไม่ได้ ปิดตลาด 14 ม.ค. ดัชนีอยู่ที่ 1,340.25 จุด ตํ่ากว่าเมื่อ 31 ปีก่อนถึง 448.91 จุด
ประเด็นที่น่าห่วงจากนี้ไปคือ “บ่อนกาสิโน” ที่เพิ่งผ่าน ครม. คุณทักษิณ กล่าวว่า ต่อไปนี้ “การพนันออนไลน์” ในอดีตเล่นกัน 2.5-4 ล้านคน ในประเทศไทยมีเงินฝากกว่า 3 ล้านล้านบาทต่อปีเล่นกันได้เสียปีหนึ่งกว่า 5 แสนล้าน ถ้าเราเก็บภาษีได้ 20% ก็จะได้ 1 แสนล้าน แต่ที่สำคัญเราสามารถควบคุมได้ ไม่ให้เด็กตํ่ากว่าอายุ 20 ปีเล่น ด้วยระบบดิจิทัลไอดี มีการยืนยันตัวตน ใครที่ติดเล่นอย่างงอมแงม ก็จะส่งให้จิตแพทย์เอาไปบำบัดได้ ฟังแล้วนักลงทุนคิดอย่างไร มีความเชื่อมั่นต่ออนาคตประเทศไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม