“ชัยชนะ” แถลงหลังสอบปม “อาสาตำรวจจีน” เผย เจ้าหน้าที่รับแจ้ง 3 ข้อหา เพิ่มเรื่องโฆษณาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตั้งข้อสังเกตคนเซ็นชื่อบนบัตรมีความผิดด้วยหรือไม่ คาด 15 วัน รู้ผลเส้นทางการเงิน หลังพบกำไร 2 แสน
วันที่ 9 มกราคม 2568 นายชัยชนะ เดชเดโช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีมหาวิทยาลัยสยามดำเนินการจัดอบรมหลักสูตร “อาสาตำรวจจีน” ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายลี ชาง และนายลี หมินยง ได้แก่ การใช้สัญลักษณ์ ม.สยาม ในการจัดอบรม ใช้ตราราชการตำรวจโดยไม่ได้อนุญาต ซึ่ง กมธ.การตำรวจ ได้ตั้งข้อสังเกตการถ่ายโฆษณาให้สมัครการฝึกอบรมที่สถานที่บริษัทลอว์เฟิร์มแห่งหนึ่ง และขึ้นสัญลักษณ์ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และวันที่ 8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ฟ้องร้องต่อการใช้สัญลักษณ์ของตำรวจสืบสวนกลางอีกหนึ่งข้อหาแล้ว
ทั้งนี้ ทาง กมธ.การตำรวจ ฝากไปถึงกองบัญชาการตำรวจนครบาล อ้างว่าการออกบัตรอาสาซึ่งมีอายุถึง 2 ปี แต่นายตำรวจคนดังกล่าวที่ออกบัตรกลับไม่มีความผิด ซึ่งในการสืบสวนข้อเท็จจริงนายตำรวจคนดังกล่าวได้เซ็นในประกาศนียบัตรจริง แต่ในบัตรสมาชิกไม่ได้เซ็น อาจถูกสแกนลายเซ็นออกไปแล้วแปะในบัตรหรือไม่ แต่ในการเซ็นลงในใบประกาศนียบัตรเหมือนรับว่าหลักสูตรนี้ถูกต้อง ทั้งที่เป็นหลักสูตรเถื่อน เป็นการผิดกฎหมายอาญาหรือไม่ หลักสูตรอบรมอาสาตำรวจจีน มีผู้เข้าอบรม 27 คน บุคคลภายนอก 13 คน ชำระเงินคนละ 38,000 บาท ก็จะได้กำไรหักลบจากรายจ่ายแล้วประมาณ 200,000 บาท และมีโฆษณาว่าจะจัดอบรมรุ่น 2 อีก 50 คน
นายชัยชนะ ระบุต่อ คาดการณ์ว่าการจัดอบรมอาสาตำรวจจีนครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างนายลี ชาง กับข้าราชการตำรวจ ซึ่งมียศพลตำรวจโท สร้างหลักสูตรขึ้นมาและหารายได้ ส่วนเส้นทางการเงิน จากการได้รับรายงานขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงิน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15 วัน และมีเบื้องลึกไปถึงบุคคลภายนอกที่เข้ามาอบรม 13 คน ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ ต้องมีการส่งเรื่องไปให้กับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
...
ขณะเดียวกัน กมธ.การตำรวจ กำชับว่า หลังจากนี้ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการอาสาตำรวจจีน รวมไปถึงตรวจสอบเส้นทางการเงินของบุคคลภายนอกที่เข้าอบรมด้วยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือคนที่หลอกลวงข้ามชาติหรือไม่ และเส้นทางการเงินของนายตำรวจทั้ง 2 คนรับส่วนแบ่งจากโครงการนี้ด้วยหรือไม่
ส่วนทาง ม.สยาม ยืนยันกับทาง กมธ.การตำรวจ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่มีข้อน่าสังเกตที่หลักการปฏิบัติมหาวิทยาลัยต้องมีแผนการใช้ห้องเรียนอยู่แล้ว ซึ่งทางมหาวิทยาลัยยอมรับว่าหละหลวมในเรื่องนี้ จึงกำชับมหาวิทยาลัยในอนาคตต้องจดบันทึกการใช้ห้องเรียน และตรวจสอบให้ดี ไม่เช่นนั้นก็จะมีคนแอบอ้าง
ในตอนท้าย นายชัยชนะ ยังกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีทุนจีนสีเทาเข้ามาในไทยค่อนข้างเยอะ จำเป็นต้องเร่งตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการประกอบธุรกิจที่จุดศูนย์รวมทางการค้าต่างๆ ถามว่าไทยต้องรับต่างชาติหรือไม่ ต้อนรับอยู่แล้ว แต่กลุ่มที่มาทำผิดกฎหมายในบ้านเราก็ต้องขับไล่ไป.